ประวัติของนักรบสปาตัน
นักรบสปาตัน มาจากชนเผ่าหนึ่งที่อาศัยอยู่ ณ รัฐสปาตาซึ่งถือว่าเป็นรัฐหนึ่งที่มีมาตั้งแต่ยุคกรีกแล้ว ซึ่งในยุคนั้นถือเป็นยุคทองของกรีกซึ่งมีอำนาจที่เฟื่องฟูมาก แถมกรีกยังเป็นยุคที่มีวัฒนธรรมที่ชัดเจนอารยะธรรมต่างๆ ก็ถูกถ่ายทอดส่งผลมายังปัจจุบันมากมายไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกฎหมายการปกครองแบบประชาธิปไตย ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นที่ยอมรับของโลกส่วนใหญ่ไปแล้ว ประชาธิปไตยเกิดขึ้นครั้งแรกที่กรุงเอเธนส์ โดยถือว่าในยุคนั้นเอเธนส์ถือเป็นจุดศูนย์กลางของกรีกเลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากวันธรรมต่างๆ ที่ส่งผลให้เราเห็นในปัจจุบันแล้วนักปราชญ์ทั้งหลายก็จะเกิดขึ้นในเมืองนี้ยุคนี้ด้วย ความเจริญทางปัญญาเกิดขึ้นมากมายแต่ในทางกลับกัน รัฐสปาตาที่อยู่ในปลายแหลมของกรีกกลับมีวิธีชีวิตที่มีความแตกต่างจากกรุงเอเธนส์อย่างสิ้นเชิงทั้งการใช้ชีวิตและแนวคิด
เมืองสปาตันนี้มีกษัตริย์ในการปกครองถึง 2 พระองค์ด้วยกันแต่ทั้งสองพระองค์จะมีหน้าที่ที่แตกต่างกัน คือพระองค์แรกมักจะประทับอยู่ที่พระราชวังดูแลในส่วนของเมือง ส่วนองค์ที่สองมักจะมีหน้าที่ในการออกรบซึ่งการรบก็ถือเป็นสิ่งที่ชาวสปาตันเองทำได้ดีที่สุดด้วย เพราะชาวสปาตันส่วนใหญ่ใช้เวลาไปกับการซ้อมรบเยอะมากทั้งการต่อสู้การใช้อาวุธต่างๆ จนทำให้เกิดคำเลื่องลือที่ว่านักรบแห่งสปาตัน 1 คน จะเท่ากับนักรบจากเมืองอื่นรวมกันหลายคน
การเป็นนักรบสปาตันต้องเป็นชายเท่านั้นและจะตั้งเตรียมพร้อมตั้งแต่ 7 ขวบด้วยการเข้าเรียนในโรงเรียนฝึกนักรบ ที่มีการฝึกที่โหดเหี้ยมมากเพื่อที่ว่าเด็กเหล่านี้จะกลายเป็นนักรบที่มีความแข็งแกร่ง พร้อมที่จะเข้าสนามรบได้เมื่อถึงวัยอันสมควรในส่วนของเด็กชายที่เกิดมาไม่สมบูรณ์ก็จะถูกกำจัดทิ้งทันที เพื่อที่จะตัดปัญหาและภาระที่จะตามในภายหลัง สำหรับเด็กหญิงจะมีหน้าที่ในการดูแลพวกทาสรับใช้โดยจะฝึกการใช้กำลังในการทำฟาร์ม สำหรับทาสจะมีหน้าที่คอยทำในส่วนของการทำแทนนักรบ อย่างเช่นหุงข้าว หาอาหาร ทำอาหาร เป็นต้น เพื่อที่จะไว้สำหรับให้เหล่าทหารได้ทานเมื่อเด็กที่ถูกฝึกเหล่านี้มีอายุครบ 20 ปี ก็จะต้องรับหน้าที่เป็นทหารเพื่อที่จะออกรบได้อย่างเต็มตัว
ก่อนที่เมืองสปาตาจะมาเอาจริงเอาจังกับการรบเหตุเกิดมาจากกรีกนั้นเกิดปัญหาของความขาดแลคนทางอาหาร รวมไปจนถึงเรื่องของประชากรล้นเมืองเกิดขึ้น จึงเกิดการแก้ปัญหาขึ้น โดยรัฐอื่นเมืองอื่นจะใช้วิธีการแก้ปัญหาด้วยการคัดเลือกคนที่มีฐานะยากจนรวมไปจนถึงนักแสวงโชคทั้งหลายออกไปยังที่โล่งอื่นๆ ที่ไกลออกไป เพื่อเป็นการกระจายประชากรที่กระจุกอยู่ให้ออกไปทำมาหากินในพื้นที่ว่าง ซึ่งถือว่าวิธีนี้ก็เป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ค่อนข้างประนีประนอมสุดแล้ว แต่เมืองสปาตากลับไม่ได้คิดอย่างนั้น โดยชาวสปาตันกลับตัดสินใจที่จะเอาดีด้านการรบเพื่อที่จะรบกับเมืองต่างๆ เพื่อยึดเอาอาหารที่คัดเลือกคนในเมืองที่ถูกยึดที่หน่วยก้านดีมาทำการเกษตร เพื่อผลิตอาหารให้กับชาวเมืองของตนเองและเมื่อเวลาผ่านไปรัฐแห่งนี้ขยายอาณาเขตมากขึ้น จำนวนประชากรทาสมากขึ้นจนกระทั่งมากกว่าจำนวนของทหารจึงเกิดการกบฏอยู่หลายครั้ง ทำให้เมืองสปาตาไม่กล้าที่จะนำทหารออกนอกเมือง เพราะกลัวว่าจะกลับมากู้สถานการณ์ภายในเมืองไม่ทันจึงกลายเป็นว่ารัฐแห่งนี้ ไม่ได้รับข่าวสารจากโลกภายนอกมากนัก กระทั่งชาวเอเธนส์ให้สมญานามแก่เมืองแห่งนี้ว่าเป็นเมืองที่มีการรบที่แข็งแกร่งแต่การปกครองกลับโง่เขลาสิ้นดี อย่างไรก็ตามสิ่งที่เราได้เห็นจากการเรียนรู้ในเรื่องของนักรบสปาตันในครั้งนี้ทำให้เราทราบว่า การทำการสิ่งใดก็ตามเมื่อเรามีความพยายามที่จะฝึกฝนมากขึ้น ตั้งใจทำมากขึ้นเราย่อมมาความเชี่ยวชาญในการทำการสิ่งนั้นมากขึ้นอย่างแน่นอนดังที่เราได้ยินกันอยู่บ่อยๆ ว่าความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น