แฟนที่เข้าเหมือนมาเป็นภาระในชีวิต ควรไปต่อหรือพอแค่นี้?
อึดอัดใจไม่รู้จะปรึกษาใคร ไม่อยากเอาเรื่องในบ้านไปถามคนใกล้ตัวให้มองหน้ากันไม่สนิทใจ
ขออนุญาตมาตั้งกระทู้แล้วกันนะคะ อยากได้แง่คิดจากผู้ใหญ่ที่ใช้ชีวิตคู่มาแล้วช่วยแนะนำหน่อยค่ะ
เรื่องก็ตามหัวกระทู้นั่นแหละค่ะ รู้สึกว่า เค้าเข้ามาเป็นภาระในชีวิตเรา
เริ่มเรื่องที่ว่าคบกันมาได้ 4 ปี เข้าปีที่ 5 แล้วค่ะ ฝ่ายชายมีเงินเดือนน้อยกว่าเราพอสมควร พื้นเพเป็นคนต่างจังหวัดแล้วมาทำงานอยู่กรุงเทพฯ
ตอนที่รู้จักกันตอนแรกเค้าอยู่บ้านลูกพี่ลูกน้องเค้าค่ะ ช่วยพี่เค้าทำงาน พอคบกันสักพักเค้าก็ได้งานใหม่และย้ายออกจากบ้านลูกพี่ลูกน้องเค้าค่ะ
เพราะว่าไม่ได้ทำงานให้แล้ว เราก็สงสารไม่อยากให้เสียค่าเช่าบ้าน ก็เลยให้ย้ายมาอยู่บ้านเรา ซึ่งที่บ้านเราอยู่กัน 2 คนกับคุณแม่
ซึ่งคุณแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร คุณแม่คงไม่อยากให้เรารู้สึกแย่ และก็คงคิดว่าได้ลูกชายมาเพิ่มอีกคนก็คงดี
เรื่องดูเหมือนจะดีค่ะ ผ่านมาไม่กี่เดือนเค้าต้องย้ายไปทำงานต่างจังหวัดก็เลยไม่ได้อยู่ที่บ้าน ก็มีเรื่องงอนกันบ้างตามประสาที่อยู่ไกลกัน ตลอด 3 ปี
สุดท้ายเค้าเลือกกลับมาอยู่กรุงเทพฯค่ะ เพื่อจะได้ตัดปัญหาในการทะเลาะกัน แต่มันกลับไปเป็นอย่างนั้น การกลับมาของเค้าคือจุดเริ่มต้นของปัญหา
ฝ่ายชายกลับมาอยู่บ้านเราได้ประมาณ 6 เดือนแล้วค่ะ ปัญหาคือเค้าไม่หยิบจับ ช่วยเหลืออะไรเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของงานบ้านหรือค่าใช้จ่ายภายในบ้าน
ตั้งแต่ค่ากินอยู่ ค่าข้าว ค่ากับข้าว ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างในชีวิตประจำวัน สบู่ ยาสีฟัน ครีมอาบน้ำ ค่าน้ำ ค่าไฟ งานบ้านก็ไม่ช่วยทำค่ะ จานก็ไม่ล้างจาน ขยะล้นถังก็ไม่เอาไปทิ้งนอกบ้าน เสื้อผ้าเราก็เป็นคนซักให้ทั้งหมดค่ะ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้นตอนมาอยู่ใหม่ๆก็เคยทะเลาะกันไปแล้วรอบนึง เพราะเรารู้สึกเหมือนเค้าเข้ามาเป็นภาระในชีวิตเรา ทำให้เรามีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น
ต้องซื้อกับข้าวเพิ่มขึ้น ข้าวของเครื่องใช้ก็หมดเร็วขึ้น เพราะใช้ร่วมกัน แต่ไม่เคยออกเงินช่วยเหลือ
จนครั้งนึงเราทนไม่ไหวเคยเปิดใจคุยกันแล้ว เค้าก็ปรับตัวด้วยการช่วยเงินเราเดือนละ 1000 บาทค่ะ เป็น 1000 ที่ครอบคลุมทุกค่าใช้จ่าย เราพยายามมองข้ามเรื่องเงิน เพราะเข้าใจว่าเงินเดือนเค้าน้อยและมีภาระในการผ่อนรถ เดือนละ 9000 บาท แต่เรื่องที่ยังคาใจอยู่ก็คือเรื่องที่ไม่ช่วยทำอะไรเลยค่ะ
เราเหนื่อย และบางทีเราก็รู้สึกว่ามันใช่เรื่องที่แม่เราต้องมาล้างจานให้เหรอ เค้าไม่เคยเห็นอะไรแล้วหยิบจับทำเองเลยค่ะ ต้องบอก ต้องสั่งถึงจะทำ
สั่งเหมือนเด็กๆ เค้าเป็นคนขี้เกียจ ตื่นสาย เล่นแต่เกมส์ในมือถือ ทั้งที่เค้ามีเวลาว่างเยอะมาก ไม่ได้ต้องเข้างาน 9 โมงเช้า เลิก 6 โมงเย็นเหมือนเรา
เค้าทำงานเป็นหัวหน้าช่างซ่อมบำรุงค่ะ ซึ่งสามารถตื่นสายได้ และก็ไปทำงานต่อเมื่อมีงานเข้ามา เราเคยคิดว่าจะฝากฝังอะไรเค้าได้บ้างแต่ไม่ใช่เลยค่ะ
อย่างล่าสุดสัตว์เลี้ยงที่บ้านป่วย เราต้องตื่นแต่เช้าเพื่อมาป้อนยา ทำอาหารแบบพิเศษให้สัตว์ป่วย เค้าก็ไม่เคยตื่นลงมาดูมาช่วย เป็นคนอาศัยที่นอนสบายกว่าเจ้าของบ้านอีกค่ะ ที่สัตว์เลี้ยงป่วยก็ไม่ช่วยออกเงิน ค่าอาหารสัตว์ก็ไม่เคยช่วยออก เราก็พยายามมองข้ามและคิดว่ามันคือหน้าที่ของเรา เราเลี้ยงเองก็ต้องรับผิดชอบเอง
เวลาไปซื้อของใช้เข้าบ้าน เค้าก็ไม่เคยจ่ายเงิน เราเป็นคนจ่ายตลอดค่ะ เพราะเค้าถือว่าเค้าให้แล้วเดือนละ 1000 บาท ค่าใช้จ่ายรวมๆในบ้านตกอยู่ประมาณเดือนละ 6000 บาทค่ะ ซื้อกับข้าวอาหารสด ซื้อของใช้ในชีวิตประจำวันต่างๆค่ะ
ส่วนเรื่องแต่งงานลืมไปได้เลยค่ะ คบมาจะ 5 ปีแล้วเค้ายังไม่เคยพาพ่อแม่เค้ามารู้จักแม่เราเลยค่ะ ด้วยเหตุผลที่ว่าพ่อแม่เค้าอยู่ต่างจังหวัดจะมายังไง แม่ก็เมารถ นั่งรถไกลๆไม่ได้ เคยถามว่าเธอคิดจะแต่งงานไหม เค้าบอกคิดค่ะ แต่เค้าต้องเก็บเงินแต่งงานเองทั้งหมด เค้าไม่ขอพ่อแม่ ซึ่งก็ไม่รู่ว่าเมื่อไหร่จะเก็บได้ พื้นฐานครอบครัวของเราสองคนค่อนข้างต่างกันค่ะ บ้านเค้าเป็นชาวไร่ ชาวนา ทำสวน ปลูกข้าวอยู่ต่างจังหวัด ส่วนบ้านเราเป็นครอบครัวฐานะปานกลางในเมืองกรุง ซึ่งแม่เรามีคนรู้จักนับหน้าถือตาค่อนข้างเยอะค่ะ ทางบ้านเค้าไม่ได้ให้ความสำคัญกับการแต่งงาน เพราะน้องชายเค้าทำผู้หญิงท้องแล้วก็อยู่ด้วยกันไปเลยค่ะ ซึ่งบ้านเราคงทำแบบนั้นไม่ได้ แค่ให้เข้ามาอยู่ด้วยกัน ก็รู้สึกผิดต่อคุณแม่มากๆแล้ว
เรื่องดีของเค้าคือเค้าเป็นคนตามใจเรามากค่ะ ไม่เจ้าชู้ ไม่มีเรื่องผู้หญิงมากวนใจ ไม่เที่ยว ไม่ปาร์ตี้ และด้วยความเป็นช่าง เวลาที่บ้านมีของเสียหายก็วานให้เค้าช่วยซ่อมแซมให้ได้ แต่กว่าจะทำได้คือลีลามากกกกกนะคะ
คำถามคือ เราควรไปต่อหรือพอแค่นี้ดีคะ เราควรกลับมาเป็นโสด ใช้ชีวิตคนเดียวโดยไมต้องมีใครมาเป็นภาระ
หรือ เราควรอดทนอยู่กับเค้าและให้โอกาสเค้าปรับปรุงตัวดีคะ