พิธายื่นคำขาด!! เลือกมา จะเอาประยุทธ์หรือประเทศ
พิธา -สรุปได้ดี เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์
นายกรัฐมนตรีที่ดีในประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ต้องทำหน้าที่สองอย่าง คือ
- เป็นทั้ง “ห้ามล้อ” ไม่ให้พระราชอำนาจไปขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ
- เป็นทั้ง “กันชน” ไม่ให้เรื่องเสื่อมเสียกระทบไปถึงสถาบัน
เมื่อใดก็ตาม เกิดเหตุการณ์ที่อาจทำให้พระราชอำนาจขยายเกินขอบเขตของรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหาร ในฐานะเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ และในฐานะผู้รับผิดชอบแทนพระมหากษัตริย์ ก็ #ต้องกล้าที่จะถวายทางเลือกที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ #นี่คือบทบาท “เครื่องห้ามล้อ” ของนายกในระบอบนี้
เช่นเดียวกัน ...
นายกรัฐมนตรีต้องปกป้องสถาบัน ไม่อ้างถึงสถาบันพร่ำเพรื่อ เพื่อสร้างแรงสนับสนุนทางการเมืองให้แก่ตนเอง!!! จนอาจทำให้ประชาชนผู้ไม่เห็นด้วยกับนายกรัฐมนตรี ตั้งคำถามไปถึงสถาบันได้ นี่คือ บทบาท “กันชน” ไม่ให้เกิดข้อวิจารณ์พุ่งตรงไปที่สถาบัน
ณ เวลานี้ ประเทศไทยมาถึงทางสองแพร่ง ถึงเวลาแล้วครับ ที่สภาแห่งนี้จะต้องเลือก ระหว่างประยุทธ์ กับประเทศ #ถ้าเราเลือกคุณประยุทธ์ #ผมเกรงว่าเราจะไม่มีประเทศหลงเหลือ
ถ้าเราเลือกประเทศ ให้ประเทศไปต่อได้ ประยุทธ์เป็นสลักแรกที่ต้องถอดออก เพื่อปลดล็อคประเทศไทย!!
ถ้าสภาของเราเลือกคุณประยุทธ์ ถ้าโหวตไว้วางใจ พลเอก ประยุทธ์ ก็หมายความว่าจิตสำนึกของสภาอันทรงเกียรติแห่งนี้ เห็นชอบกับความเลวร้ายทั้งปวงภายใต้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ถ้าสภาเลือกคุณประยุทธ์ เท่ากับสภาของเราเห็นชอบว่า กองทัพไม่ต้องมีการปฏิรูป ทหารเกณฑ์ตายทุกปีทุกปี ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทหารเอาปืนในคลังแสงมากราดยิงสังหารหมู่ประชาชนเพราะความกดดัน ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ไม่ต้องมีใครรับผิดชอบ กองทัพฉ้อราษฎร์บังหลวงการจัดซื้อยุทธภัณฑ์ หรือการซื้อขายตำแหน่งตำรวจ ก็เป็นแค่ความจริงของชีวิตที่ต้องยอมรับ
ปฏิบัติการ IO กับประชาชนให้แตกแยกด้วยงบประมาณแผ่นดินเป็นสิ่งที่ทำได้ เพราะประชาชนบางส่วนเป็นศัตรูกับรัฐ จิตสำนึกของสภา เราจะเห็นชอบกับเรื่องเหล่านี้จริงหรือ?
ถ้าสภาเลือกคุณประยุทธ์ เท่ากับจิตสำนึกของสภาแห่งนี้ เห็นชอบกับ
กับการมองอนาคตของชาติเป็นภัยต่อความมั่นคง เอาอนาคตของประเทศไปคุมขังไว้ ในเวลาที่ประเทศของเราต้องการอนาคตมากที่สุด เพียงเพราะว่าคนรุ่นใหม่คิดไม่เหมือนเรา และคนรุ่นก่อนไม่รู้ว่าจะจัดแจงกับคนรุ่นใหม่อย่างไร เท่ากับเราเห็นชอบกับการใช้กฎหมายความมั่นคงร้ายแรง และมาตรา 112 ในการ กวาดจับ คุมขัง ปราบปราม นักเรียน, นักศึกษา, และประชาชน
และถ้าสภาลงมติ “ไว้วางใจ” ให้ พลเอกประยุทธ์ เป็นนายกต่อไป เท่ากับเราเห็นชอบกับธรรมเนียมการปกครองแบบใหม่ของพลเอกประยุทธ์ ว่ารัฐบาลสามารถอ้างพระราชกระแสมากลบเกลื่อนความผิดพลาดของตนเองได้ โดยไม่ได้คำนึงถึงความเสียหาย ที่จะเกิดขึ้นกับสถาบัน
ผมไม่คิดว่าสามัญสำนึกของสภา จะเห็นชอบกับการให้ พลเอกประยุทธ์ปัดความรับผิดชอบให้แก่พระองค์ และดึงสถาบันลงมาเป็นเกราะกำบังเช่นนี้
ผมยังเชื่อว่าจิตสำนึกของสภา ยังเชื่อในหลักนิติรัฐ ยังเชื่อในหลักการว่ามนุษย์เกิดมามีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน เสมอหน้ากันภายใต้กฎหมาย เชื่อในการปฏิรูปกองทัพ เชื่อในการปราบปรามทุจริต และเชื่อในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ที่พระองค์ทรงปกเกล้า ไม่ปกครอง ครองราชย์ แต่ไม่ครองรัฐ อยู่เหนือการเมืองและเป็นที่เคารพสักการะ เป็นศูนย์รวมจิตใจของประเทศ
ถ้าสภาของเรา ยังเชื่อในหลักการเหล่านี้ เราต้องเลือกประเทศ และลงมติไม่ไว้วางใจพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี ถ้าสภาของเราเลือกประเทศ ไม่ไว้วางใจคุณประยุทธ์ เราจะสามารถถอดสลักตัวแรกและปล่อยให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้เสียทีหนึ่ง จะเป็นก้าวแรกของการแก้ไขปัญหาประเทศที่สะสมมา 7 ปีตั้งแต่การรัฐประหาร
เริ่มจาก การปฎิรูปกองทัพ นำงบประมาณมาจัดรัฐสวัสดิการให้ประชาชนอย่างถ้วนหน้า กระจายอำนาจ กระจายโอกาสในทำมาหากิน ทลายทุนผูกขาด เพราะประเทศไทยของพวกเรามีทรัพยากรเพียงพอสำหรับทุกคน แต่ติดอยู่กับที่ระบบที่ พลเอก ประยุทธ์ และพวกพ้องสร้างขึ้นมาให้พวกเขาสามารถรักษาอำนาจได้ แต่ไม่สามารถบริหารประเทศได้ ไม่สามารถ แก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชนได้
ถ้าเราเลือกประเทศ เท่ากับสภาของเรายืนยัน ในหลักธรรมเนียมการปกครองของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ว่านายกนำพระราชกระแสมาแอบอ้างต่อไม่ได้ เพราะเป็นการเสื่อมเสียต่อพระเกียรติอย่างยิ่ง และเป็นการทำลายหลักการ อันสำคัญว่า “กษัตริย์ทรงทำผิดมิได้”
ถ้าเราเลือกประเทศ เท่ากับว่าสภาของเรา ได้ร่วมกันยกเลิกเส้นแบ่งความขัดแย้งของประเทศ ที่มีคนพยายามทำให้คนไทยแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายโดยการแอบอ้างสถาบัน และเมื่อเราได้เปิดม่านมายาคตินี้ออกไป เราจะเห็นได้ถึงโจทย์ที่แท้จริงของประเทศไทย ว่าเราจะจัดวางและเชิดชูสถาบันอย่างไร เพื่อให้สถาบันมั่นคงสถาพร และวิวัฒน์ควบคู่ไปกับสังคมไทย ในโลกและจิตสำนึกแห่งยุคสมัยที่กำลังเปลี่ยนแปลง
ถ้าพวกเรากล้า กล้าที่จะร่วมไปกับผม พวกเรามีอำนาจเต็มมือ ที่จะโหวตได้ในพรุ่งนี้ครับ ที่จะเอาชื่อประยุทธ์ออกไปจากสารบบการเมืองไทย ซึ่งก็เป็นสิ่งที่พรรคการเมืองส่วนใหญ่ในสภาแห่งนี้ เคยให้คำมั่นสัญญาเอาไว้กับประชาชนของท่าน ตอนที่หาเสียงเลือกตั้ง
ณ เวลานี้ ชะตาของประเทศ อยู่ในมือของสภาผู้แทนราษฎรอย่างสมบูรณ์ อยู่ที่การลงคะแนนของเพื่อนสมาชิกทั้งสิ้น ไม่มีข้ออ้าง ไม่มีอำนาจใดที่สูงกว่า พรุ่งนี้จะเป็นวันเดียวในรอบ 7 ปีที่ผ่านมา ที่สภาผู้แทนราษฎร จะได้ยืนยันอำนาจตนเอง ที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะได้ประกาศให้ประชาชนเห็นว่า “นี่คือผู้แทนของราษฎร ไม่ใช่ผู้แทนของคุณประยุทธ์ “
พอกันทีกับ 7 ปีที่ผ่านมา มาร่วมกันยุติฝันร้ายของประเทศไทยไปด้วยกัน ถึงเวลาแล้วที่ทุกท่านจะต้องเลือกประเทศของเรา ร่วมกันถอดถอน พลเอกประยุทธ์ด้วยการโหวตไม่ไว้วางใจ จากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่ให้บริหารประเทศอันเป็นที่รักของเราอีกต่อไปแม้แต่นาทีเดียว
อ้างอิงจาก: Anchan Chaiyanw, อัญชัญไพร ไชยานุวงศ์