สงครามยา "โควิด-19" และประเด็นทางการเมือง
จากเรื่องที่เหมือนไม่มีอะไร คนไทยสามารถทำให้มีประเด็นได้ กับคำถามที่ไม่มีคำตอบ
ถ้าไม่สั่งจองซิโนแวค และแอสทราเซเนกาไว้ก่อน
ส่วนยาไฟเซอร์และโมเดอร์นาต้องรอคิวถึงสิ้นปี
คนไทยจะรอกันได้ไหม
กลายเป็นเรื่องถกเถียงกันในโลกออนไลน์ว่า ตกลงคนไทยควรใช้วัคซีนตัวไหนกันดี ระหว่าง USA, UK หรือ CN
กับผลของการทดลองในเฟสที่ 3 ของแต่ละวัคซีน ในแต่ละประเทศ ที่มีค่าประสิทธิภาพในการสร้างภูมิคุ้มกันไม่เท่ากัน แต่ที่เหมือนจะมีผล และอยู่ในความสนใจของคนไทย กับเป็นผลการทดสอบประสิทธิภาพในประเทศบราซิล ตุรกี และอินโดนีเซีย ที่แต่ละประเทศรายงานผลประสิทธิภาพของวัคซีนซิโนแวค - Sinovac จากประเทศจีนที่สูงปี๊ดในตุรกี ที่ 91% และผ่านเกณฑ์ประเมินขององค์การอนามัยโลกอย่างฉิวเฉียดที่บราซิล ที่ 50.4%
จนทำให้เกิดคำถาม และปัญหาคาใจของคนในสังคมว่า ทำไมประเทศไทยถึงต้องสั่งวัคซีนซิโนแวคด้วย ทั้งที่วัคซีนตัวอื่นมีผลการทดสอบประสิทธิภาพที่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีกว่าอย่าง วัคซีนของไฟเซอร์และโมเดอร์นา ล่ะ ???
เรามาดูข้อดี และข้อด้อยของวัคซีนที่มีอยู่ทั้ง 3 ชนิดกันก่อน
จะเห็นได้ว่า ซิโนแวค เป็นการใช้เทคโนโลยีในการผลิตวัคซีนแบบดั้งเดิม ที่เรียกว่า Inactivated Vaccine หรือ วัคซีนเชื้อตาย โดยการนำเอาเชื้อก่อโรคที่ต้องการป้องกัน คือ เชื้อโคโรนาไวรัส สายพันธุ์ใหม่ 2019 มาทำให้ตาย แล้วนำซากเชื้อฉีดกลับเข้าไปในร่างกายของผู้ที่ต้องการให้เกิดภูมิคุ้มกัน เหมือนกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
ทำให้อาจารย์หมอหลายท่าน เห็นด้วยกับรัฐบาลที่สั่งซื้อวัคซีนชนิดนี้
อย่างเช่น ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสไว้ในเฟซบุ๊ค นพ.ยง ภู่วรวรรณ ไว้ว่า
จะเห็นได้ว่า วัคซีนซิโนแวค ได้รับความมั่นใจจากคุณหมอ
-----------------------------------------------
แต่ทำไมถึงเกิดดราม่า ผลการทดลองประสิทธิภาพไม่เท่ากัน สูงบ้าง ต่ำบ้าง แต่ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่องค์การอนามัยโลกรับรองก็ตาม ต้องบอกว่า มันเป็น ประเด็นทางการเมือง หรือ Geopolitics ที่มีต่อการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย
หลายคนจะต้องรีบเถียงออกมาทันทีว่า ไม่จริ๊ง ไม่จริง เรื่องแบบนี้จะมีผลต่อผลการทดสอบประสิทธิภาพได้อย่างไรกัน
หากลองค้นข่าวเกี่ยวกับวัคซีนซิโนแวคของจีนย้อนหลังไปประมาณปลายปีที่แล้ว ที่ สำนักข่าว PPTVHD36 รายงานว่า
• วันที่ 23 ธันวาคม บราซิลออกมาบอกแบบกระมิดกระเมี้ยนว่า วัคซีนโคโรนาแวคมีประสิทธิภาพมากกว่า 50% อย่างแน่นอน แต่ระบุว่า ยังไม่สามารถเปิดเผยผลการทดสอบเต็ม ๆ ได้ เพราะติดเงื่อนไขกับทางซิโนแวค
• วันที่ 24 ธันวาคม ตุรกีประกาศว่า โคโรนาแวคมีประสิทธิภาพถึง 91.25%
• วันที่ 7 มกราคม สถาบันชีวการแพทย์บูตันตัน (Instituto Butantan) ของบราซิล ประกาศว่า
วัคซีนโคโรนาแวคมีประสิทธิภาพได้ผล 78% ในกรณีที่ไม่รุนแรง
และ มีประสิทธิภาพ 100% ในการติดเชื้อรุนแรงและปานกลาง
• วันที่ 11 มกราคม อินโดนีเซียประกาศ อัตราประสิทธิภาพวัคซีนโควิด-19 โคโรนาแวคอยู่ที่ 65.3%
• วันที่ 12 มกราคม บราซิลประกาศอีกครั้งว่า อัตราประสิทธิภาพวัคซีน “โดยรวม” ซึ่งรวมถึงเคสที่ไม่รุนแรงมากที่ไม่ต้องการความช่วยเหลือทางการแพทย์อยู่ที่ 50.38% เท่านั้น
ข้อมูลประสิทธิภาพที่สวนทางหรือทับซ้อนกันไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 โดยแอสทราเซเนกา ผู้ผลิตวัคซีนโควิด-19 จากอังกฤษเอง ก็เคยพบอัตราประสิทธิภาพการป้องกันโควิด-19 ที่แตกต่างกัน 2 แบบ คือพบว่า ประสิทธิภาพการฉีดวัคซีนเพียง 1 โดสครึ่ง สูงกว่าการฉีด 2 โดส ซึ่งเป็นเรื่องแปลก
และข้อมูลสำคัญอีกข้อที่น่าสงสัยเกี่ยวกับผลทดสอบประสิทธิภาพในประเทศบราซิล ก็คือ ประธานาธิบดีฌาอีร์ โบลโซนารู ของบราซิล ที่ชอบทำตัวเป็นคนกวาดสวนในอเมริกาใต้ให้กับประเทศสหรัฐอเมริกาหลายครั้ง เพื้อที่จะกระชับความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายให้สหรัฐฯ สามารถตั้งฐานทัพภายในบราซิลได้ ถึงขั้นว่า
ประธานาธิบดีฌาอีร์ โบลโซนารู เคยพูดกับ ไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐ ว่า
"ตอนนี้ประเทศของพวกเขา "เป็นเพื่อน" กันแล้ว พร้อมกันนั้นเขาก็แสดงท่าทีเป็นศัตรูกับทุนของจีนในบราซิล และต่อต้าน "ระบอบเผด็จการอำนาจนิยม" ในประเทศเพื่อนบ้านร่วมภูมิภาค ทั้งเวเนซุเอลา, คิวบา และนิการากัว
เขาต้องการกระชับความสัมพันธ์กับสหรัฐในด้านเศรษฐกิจและการทหาร ซึ่งต่อไปอาจมีการลงนามความตกลงในด้านนี้ บราซิลไม่ได้ต้องการเป็นแค่มหาอำนาจในอเมริกาใต้ แต่เราต้องการเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอเมริกาใต้"
เพียงเท่านี้ ก็พอจะทำให้คาดเดากันได้ว่า ทำไมผลการทดสอบ วัคซีน “โควิด-19” จากจีน “ซิโนแวค” ในประเทศบราซิลถึงแค่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานขององค์การอนามัยโลกเท่านั้น
-----------------------------------------------
คำถามที่ยังอยากได้ยินคำตอบที่ว่า คนไทยจะรอกันได้ไหม หากต้องรอคิวสั่งซื้อของไฟเซอร์และโมเดอร์นา ที่อาจจะต้องได้ในปลายปีนี้ กับ ซิโนแวคที่เอามาแก้ขัดระหว่างรอแอสทราเซเนกาที่จะเข้ามาในเดือนมิถุนายน หรือช่วงว่างๆ ระหว่างมกราคม ถึง มิถุนายน ประเทศไทยไม่ควรที่จะมีวัคซีนชนิดอื่น ยี่ห้ออื่นมาเพื่อใช้ป้องกันเลยหรือ
หรือต้องให้ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนเค้าฉีดกันจนหมด แล้วไทยค่อยฉีดก็ได้หรือ ???
อยากทิ้งเป็นคำถามให้คิด
ช่วงเวลานี้ ถึงมีเงินก็ใช่ว่าจะได้วัคซีนที่ดีที่สุดได้
เพราะทุกประเทศก็มีคิวในการสั่งซื้อเช่นกัน
แล้ว
คนไทยจะรอกันได้ไหม