ทำ Coolsculpting คือ? สลายไขมันได้จริงหรือ? ดีกว่าดูดไขมันหรือเปล่า?
CoolSculpting สลายไขมันด้วยความเย็น คืออะไร?
การลดไขมันส่วนเกินสำหรับบางคนแล้วเป็นเรื่องน่าหนักใจ เนื่องจากการระวังเรื่องอาหารและหมั่นออกกำลังกายมาเป็นระยะเวลานานแล้ว แต่ก็ยังคงมีไขมันส่วนเกินในจุดที่ลดไม่สำเร็จหลงเหลืออยู่ บทความนี้จึงสรุปข้ออมูลจากคุณหมอ เรื่องการลดไขมันส่วนเกินด้วยวิธีการต่าง ๆ ว่าวิธีไหนจะได้ผลจริง? การทำ Coolsculpting ดีไหม? รวมถึงเครื่องมือแต่ละอย่างมีข้อดี ข้อเสียอย่างไรบ้างค่ะ
แบบที่ 1.) การทำ CoolSculpting คืออะไร? ความเย็นจะสลายไขมันได้จริงหรือ?
การสลายไขมันด้วยความเย็น หรือ Coolsculpting คือ อีกหนึ่งหัตถการจะช่วยลดไขมันส่วนเกินในจุดที่เราไม่ต้องการ ให้ออกไปจากร่างกาย โดยจะแช่แข็งเฉพาะเซลล์ในชั้นไขมันเท่านั้น เพราะเซลล์ไขมันจะไวต่ออุณหภูมิมากกว่าเซลล์ประเภทอื่น ๆ (เปรียบเทียบได้กับ เมื่อเรานำอาหารที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบ ไปแช่ตู้เย็น ปกติแล้วส่วนที่เป็นไขมันจะแข็งตัวและแยกชั้นออกมาอย่างรวดเร็วและเห็นได้ชัด)
สลายไขมันด้วยความเย็น Coolsculpting สลายไขมันทันที 20 %
หากจะอธิบายลักษณะการทำงานให้เห็นภาพ ก็คล้ายกับการที่เราหยิกไขมันที่พุงขึ้นมา เครื่อง Coolsculpting จะมีหัวดูด สำหรับดูดผิวของเราเพื่อดึงชั้นไขมันเข้ามาไว้ในส่วนหัวของเครื่อง
ซึ่งภายในหัวดูดจะมีการปล่อยความเย็นที่ -11 องศาเซลเซียส เพื่อทำการแช่แข็งก้อนไขมันที่ถูกดูดขึ้นมาในแต่ละจุด เป็นเวลานานประมาณ 35 นาที
เครื่อง Coolsculpting :สลายไขมันด้วยความเย็น
ต้องรอนานแค่ไหนกว่าจะเห็นผล? หลังจากทำ CoolSculpting สลายไขมันด้วยความเย็น
หลังทำการ CoolSculpting (สลายไขมันด้วยความเย็น) ระยะเวลาในการพักฟื้น คือ 7-10 วัน เพราะจะมีอาการปวดระบม
- ในระยะเวลา 1-2 อาทิตย์แรก จะมีอาการบวมในจุดที่เซลล์ไขมันมันตายและยังคงตกค้างอยู่ อาจต้องให้เวลาสำหรับร่างกายที่จะทำการลำเลียงเอาเซลล์ไขมันที่ตายแล้ว ขับออกไปตามระบบน้ำเหลืองและระบบเลือด
- จากนั้น ในช่วง 3-4 อาทิตย์ สามารถเริ่มเห็นผลลัพธ์ได้ว่าสัดส่วนดูเล็กลงไปกว่าเมื่อตอนก่อนทำ
- จะสามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างเต็มที่ว่าสัดส่วนเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด ใช้เวลาประมาณ 3 เดือน
รีวิว Coolsculpting ไขมันส่วนเกิน ลดยาก ออกกำลังกายเท่าไรก็ไม่หายไปแก้ยังไงดี (จาก Youtube Channel: V Square Clinic)
รีวิว การทำ Coolsculpting จะสามารถสลายไขมันส่วนเกิน ได้ผลจริงหรือไม่?
รีวิว ใช้เครื่อง CoolSculpting สามารถสลายไขมันส่วนเกินได้
การทำ Coolsculpting ในแต่ละครั้ง หากทำ 1 หนีบสามารถช่วยสลายไขมันส่วนเกินออกไปได้ประมาณ 60cc – 70cc ซึ่งราคามาตรฐานของการกำจัดไขมันส่วนเกินด้วยความเย็นนี้จะอยู่ที่ประมาณ หนีบละ 9,900 บาท – 12,000 บาท
สำหรับคนไข้ที่ต้องการปรับรูปทรง ลดสัดส่วนให้ดูเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด มักจะใช้การทำ Coolsculpting 2-4 หนีบขึ้นไป
รีวิว ใช้เครื่อง CoolSculpting สามารถสลายไขมันส่วนเกินที่ต้นแขนได้
ผู้ที่มีค่า BMI < 35 และต้องการจะสลายไขมันและลดสัดส่วนในปริมาณปานกลาง โดยไม่ต้องการมีแผล ไม่ต้องการเข้ารับการผ่าตัด ไม่อยากเสี่ยงที่อาจจะได้รับผลข้างเคียงในระยะยาวจากการดูดไขมันดูดไขมัน หรือไม่มีเวลามากพอสำหรับการพักฟื้นหลังผ่าตัด เหมาะสมกับวิธีสลายไขมันส่วนเกินโดยการใช้เครื่อง Coolsculpting
Coolsculpting ทำกับคลินิกที่ไหนดี? สลายไขมันด้วยความเย็น อย่างเห็นผลและปลอดภัย
สิ่งสำคัญที่สุดของการทำ Coolsculpting คือความปลอดภัย ซึ่งองค์ประกอบที่ต้องใช้ประกอบการตัดสินใจว่าจะทำที่ไหนดี ได้แก่
- เลือกสลายไขมันด้วยความเย็นกับคลินิกที่มีใบรับรองอย่างถูกต้องเท่านั้น สถานที่สะอาด ไม่อึดอัดคับแคบ มีพื้นที่กว้างพอสมควร แสงสว่างเหมาะสม โดยต้องเป็นคลินิกที่เชื่อถือได้และได้มาตรฐานเท่านั้น
- เพื่อมั่นใจได้ถึงความปลอดภัยและเห็นผล ทางคลินิกต้องใช้เครื่อง coolsculpting ของแท้เท่านั้น
- มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการทำ Coolsculpting ให้การดูแลโดยตรง
- มีคนไข้ที่เคยใช้บริการจริงมาให้ข้อมูลรีวิวผลการรักษาไว้ ซึ่งอยู่ในแหล่งข้อมูลที่มีความเป็นกลาง และน่าเชื่อถือ
- เพื่อมั่นใจได้ว่าเป็นเครื่อง Coolsculpting ของแท้ ไม่ใช่เครื่องเลียนแบบหรือเครื่องปลอม จึงควรมีราคาที่เหมาะสม ไม่แพงจนเกินไปหรือถูกจนน่าแปลกใจ
แบบที่ 2.) การดูดไขมัน ด้วยเครื่องชนิดต่าง ๆ เห็นผลจริงไหม?
การดูดไขมัน เหมาะกับคนที่อยากจะกำจัดไขมันให้ได้ปริมาณมาก ๆ และเป็นคนที่มี BMI > 35 เท่านั้น ส่วนคนที่ไขมันน้อยกว่านี้ ควรเลือกใช้วิธีลดไขมันส่วนเกินแบบอื่นที่ปลอดภัย และไม่ส่งผลเสียในระยะยาวจะเหมาะสมกว่า
- จำเป็นต้องอยู่ในความควบคุมของคุณหมอที่มีความเชี่ยวชาญเท่านั้น เนื่องจากต้องฉีดยาชาปริมาณมากในบริเวณที่ดูดไขมัน ซึ่งไม่นิยมใช้การวางยาสลบเนื่องจากมีความเสี่ยงมากกว่าการฉีดยาชา
- หลังดูดไขมัน อาจมีรอยแผล อันเกิดจากการสอดท่อดูดไขมันขนาด 3 มิลลิเมตร ตามจุดที่ต้องการจะดูดบริเวณละ 1-2 จุด
- หลังดูดไขมัน มักจะเกิดปัญหาผิวไม่เรียบในบริเวณที่ดูดไขมันได้ และไม่สามารถแก้ไขให้ผิวกลับมาเรียบเนียนได้เหมือนเดิมแบบ 100%
ขณะที่สอดท่อเข้าไปเพื่อดูดไขมัน จะทำให้มีการฉีกขาดของเส้นเลือดฝอยตามบริเวณต่าง ๆ จึงส่งผลให้หลังดูดไขมันมักจะเกิดรอยบวมช้ำค่อนข้างมาก และกว่าที่อาการบวมและปวดระบมจะดีขึ้นอาจต้องใช้เวลา 1 เดือนสำหรับการพักฟื้นร่างกาย
การดูดไขมัน โดยการใช้เครื่องมือยี่ห้อต่าง ๆ ประกอบไปด้วย
(1.) ดูดไขมันด้วยเครื่อง Body tite : Radio Frequency Assisted Liposuction ใช้คลื่นวิทยุความร้อน
(2.) ดูดไขมันด้วยเครื่อง Vaser : Ultrasound Assisted Liposuction ใช้คลื่นเสียง Ultrasonic
(3.) ดูดไขมันด้วยเครื่อง Microaire : Power Assisted Liposuction ใช้แรงสั่น
(4.) ดูดไขมันด้วยเครื่อง Body jet evo : Water-Jet Assisted Liposuction ใช้แรงดันน้ำ
การทำงานของเครื่องมือที่ใช้ดูดไขมัน ทั้ง 4 ประเภทนี้ จะเป็นการใช้พลังงานที่แตกต่างกัน ที่จะไปทำให้ก้อนไขมันในบริเวณที่ทำเกิดการแตกตัว จากนั้นจึงดูดไขมันที่แตกตัวแล้วออกมาจากร่างกายของเรา เรามาดูข้อดี-ข้อเสียของเครื่องมือแต่ละตัวกัน ดังต่อไปนี้
- การใช้คลื่นวิทยุ (1.) หรือคลื่นเสียง (2.) ในการดูดไขมัน : หลังจากทำเสร็จแล้ว ในช่วง 2-3 เดือนจะช่วยกระตุ้นให้เนื้อเยื่อตรงบริเวณที่แพทย์ดูดไขมัน มีการหดตัว และกระชับยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดโอกาสที่จะเกิดความหย่อนคล้อยภายหลังจากการดูดไขมันได้อีกด้วย
- ส่วนข้อเสีย ก็คือ มักจะต้องพักฟื้นนานขึ้น จากการเกิดอาการบวมช้ำที่มากขึ้น และสำหรับคนไข้บางรายอาจต้องพักฟื้นนานเกินกว่า 1 เดือน รวมถึงเซลล์ไขมันที่ได้จากการดูดด้วยวิธีนี้ ถ้าแพทย์นำไปฉีดเพื่อเติมเต็มตามส่วนอื่นๆ มักจะปลูกไม่ติดเนื่องจากได้เซลล์ไขมันที่ไม่แข็งแรง
- การใช้แรงสั่น (3.) หรือแรงดันน้ำ (4.) ในการดูดไขมัน : ใช้เวลาในการพักฟื้น 3-4 อาทิตย์ จะบวมช้ำน้อยกว่าและปวดระบมน้อยกว่า
- เซลล์ไขมันที่ได้จากการดูดด้วยวิธีใช้แรงสั่นหรือแรงดันน้ำ หากแพทย์นำไปฉีดเพื่อเติมเต็มตามจุดต่าง ๆ จะเพิ่มโอกาสในการปลูกติดได้มากขึ้นเพราะมักจะได้เซลล์ไขมันที่แข็งแรง แต่ % การปลูกติดจะสำเร็จมากน้อยแค่ไหนนั้นย่อมขึ้นกับเทคนิคการเก็บเซลล์ไขมันรวมถึงเทคนิคการฉีดด้วย
- มีข้อเสีย คือ อาจจะต้องใช้เครื่องมือที่ช่วยกระชับผิวช่วยต่ออีกทีเพื่อความสมบูรณ์แบบมากขึ้น เพราะหลังจากยุบบวมแล้วผิวหนังบริเวณที่ดูดไขมันมักจะไม่กระชับ
แบบที่ 3.) การลดสัดส่วน ด้วยการฉีดเมโสแฟต (Meso fat)
การฉีดเมโสแฟต ราคาอยู่ประมาณ 5,000.- บาท/ 40 cc สำหรับคนที่มีงบประมาณจำกัดสามารถทดลองใช้วิธีนี้ก่อน ถ้าทำแล้วได้ผลดีจะได้ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ เนื่องจากการฉีดเมโสแฟต ราคาจะค่อนข้างถูกกว่าวิธีอื่น ๆ
- การฉีดเมโสแฟต คือ อีกหัตถการหนึ่งที่ช่วยสลายไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด โดยฉีดสารต่าง ๆ ที่มีงานวิจัยรองรับว่าสามารถสลายเซลล์ไขมันได้ เข้าไปเพื่อลดไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด
- ออกฤทธิ์ในการ ฉีดเข้าตามจุดต่างๆที่ต้องการลดไขมันเฉพาะจุด ซึ่ง
- ข้อเสีย คือ อาจจะเห็นผลไม่ชัดเจน และมักจะคาดหวังผลลัพธ์ได้ไม่แน่นอน คนไข้บางรายฉีดเมโสแฟตแล้วเห็นผลดีมาก ในขณะที่บางคนกลับไม่เห็นผล เพราะการออกฤทธิ์ของตัวยานั้นขึ้นกับปัจจัยของร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกัน
แม้ว่าเราจะกำจัดไขมันส่วนเกินด้วยวิธี coolsculpting หรือใช้วิธีการอื่น ๆ ไปแล้ว แต่เราก็ควรดูแลสุขภาพด้วยการออกกำลังกายและควบคุมอาหารอย่างต่อเนื่องด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ไขมันกลับมาสะสมได้ใหม่อีกครั้ง