หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

เกย์ ประวัติศาสตร์ของกลุ่มผู้รักร่วมเพศใน สยามอดีต

โพสท์โดย Kenttt

 

 

เกย์ ประวัติศาสตร์ของกลุ่มผู้รักร่วมเพศใน สยามอดีต

ความเป็นผู้รักร่วมเพศในสังคมไทยนั้น ประกอบด้วย 7 ยุค ได้แก่

ยุคที่ 1 จุดเริ่มต้นของกลุ่มผู้รักร่วมเพศในสังคมไทย

ยุคที่ 2 กลุ่มผู้รักร่วมเพศไทยในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์

ยุคที่ 3 กลุ่มผู้รักร่วมเพศยุคเริ่มต้นประชาธิปไตย

ยุคที่ 4 กลุ่มผู้รักร่วมเพศหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

ยุคที่ 5 กลุ่มผู้รักร่วมเพศยุคสื่อสิ่งพิมพ์เฟื่องฟู

ยุคที่ 6 กลุ่มผู้รักร่วมเพศยุคสื่อมวลชนไทยเบ่งบาน

ยุคที่ 7 กลุ่มผู้รักร่วมเพศยุคปัจจุบัน

1. จุดเริ่มต้นของกลุ่มผู้รักร่วมเพศในสังคมไทย

*** ใครอยากอ่านถึง 7 ขอส่วนตัว ยาวววๆๆๆๆ เกิ๊นนนนๆๆๆๆ

ประวัติศาสตร์ของผู้รักร่วมเพศในประเทศ ไทยไม่มีความชัดเจนว่าเริ่มต้นเมื่อใด และไม่มีการบันทึกไว้เป็นหลักฐานอย่างจริงจัง แต่อย่างไรก็ตาม มีความเชื่อว่าน่าจะมีการรับรู้หรือมองเห็นปัญหาของ พฤติกรรมรักร่วมเพศมาตั้งแต่ในอดีต ในทางพระพุทธศาสนา เมื่อครั้งบรรพกาลก็มีเรื่องที่กล่าวขานเกี่ยวกับพฤติกรรมรักร่วมเพศไว้มากพอสมควรในพุทธชาดก รวมทั้งภาพพฤติกรรมรักร่วมเพศที่ปรากฏบนจิตรกรรมฝาผนังของวัดต่างๆ ในประเทศไทย นอกจากนี้ในพระไตรปิฎกอันประกอบด้วย พระวินัยปกฎก อภิธรรม ปิฎก และ สุตตันตปิฎก เป็นหลักธรรมที่สำคัญของพุทธศาสนา ได้กล่าวในเรื่องของ "กะเทย" หรือ "บันเดาะ" หรือ "บันเฑาะ ก์" ซึ่งก็มีความหมายว่าเป็นชายที่มีราคะจัด ชอบประพฤตินอกรีตในการเสพกามและยั่วยวนชายอื่นให้ประพฤติตาม หรือชายที่ถูกตอนหรือที่เรียกว่า ขันที คนที่เป็นกะเทยโดยกำเนิด อันหมายถึง ผู้มี 2 เพศในบุคคลเดียวกัน โดยมีบัญญัติข้อบ่งชี้ถึงบุคคลที่ไม่สามารถบวช ในพุทธศาสนาไว้เช่นกัน โดยที่ " บันเฑาะก์" ถือเป็นข้อห้ามหนึ่งที่ไม่ยินยอมให้บวชได้ ความเชื่อในทางพระพุทธศาสนาเชื่อว่าเพศของฆราวาสและเพศของบรรพชิตนั้นสามารถหลุดพ้น ได้ และพฤติกรรมรักร่วมเพศได้มีการบัญญัติว่า เป็นสิ่งที่ผิดและไม่ดีงามต่อพุทธศาสนา โดยเฉพาะในพระวินัยปิฎกได้ระบุเป็นข้อห้ามข้อหนึ่งของพระสงฆ์ว่า จะกระทำมิได้ อันทำให้ไม่ใส่ใจช่วยเผยแผ่พระศาสนาอันเป็นกิจของสงฆ์

ในเรื่องนี้มีหลักฐานจากพระราช พงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ร.2 ได้เขียนว่า พระสังฆราชวัดมหาธาตุมีพฤติกรรมรักร่วมเพศกับลูกศิษย์หนุ่มแม้ไม่ถึงขั้นมีเพศสัมพันธ์ แค่เพียงสัมผัสจับต้อง ลูบคลำอวัยวะเพศจึงไม่ถึงกับปาราชิก แต่ถือว่าเป็นความผิดเช่นเดียวกัน จึงถูกถอดจากสมณศักดิ์และเนรเทศให้ออกไปจากวัดมหาธาตุ เป็นการลงโทษที่ ประพฤติปฏิบัติผิดหลักพระวินัยของสงฆ์อย่างหนึ่ง สะท้อนให้เห็นว่าพฤติกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นมามากกว่า 200 ปี แต่เป็นสิ่งที่ไม่ต้องการให้มีการกล่าวถึง เพราะ ถือเป็นความเสื่อมเสียของสังคมและขัดต่อขนบธรรมเนียมและประเพณีของคนไทยเป็นอย่างยิ่ง

วิถีชีวิตของคน ไทยมีการประพฤติและปฏิบัติที่สอดคล้องกับหลักของศาสนาในหลายๆ ด้าน จึงรับเอาความคิดและความเชื่อดังกล่าวเข้ามาเป็นหลักในการดำเนินชีวิตด้วย ดัง นั้นพฤติกรรมรักร่วมเพศในสังคมไทยจึงน่าจะมีมาตั้งแต่ต้นสมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว เนื่องจากกฎหมายตราสามดวง ซึ่งสันนิษฐานว่าเริ่มตรามาตั้งแต่สมัยกรุง ศรีอยุธยาตอนต้นและได้มีการแก้ไขปรับปรุงจนถึงตอนต้นกรุงรัตนโกสินทร์ได้ระบุถึงบุคคลที่มีคุณลักษณะที่ไม่ใช่เพศชายและเพศหญิง ว่าเป็น " กะเทย" หรือ "บันเฑาะก์" ซึ่งไม่สามารถเป็นพยานในศาลได้ ก็แสดงให้เห็นว่าเรื่องดังกล่าวน่าจะเป็นปัญหาอย่างหนึ่งของสังคมจึงได้ บัญญัติไว้เป็นกฎหมายเช่นนั้น

นอกจากนี้คำว่ากะเทย ยังพบอยู่ใน "พะจะนะพาสาไท" ที่เขียนโดย บาทหลวงปาลเลอกัวร์ ในปี พ.ศ.2397 ที่เขียนว่า "กเทย" แปลมาจากภาษาอังกฤษว่า "Hermaphrodite" และหมอบรัดเลย์ได้ เขียนหนังสือชื่อ "อักขราภิธานศรับท์" ในปี พ.ศ.2416 ว่า "กะเทย" หมายถึง "คนที่ไม่เปนเภษชาย ไม่เปนเภษหญิง มีแต่ ทางปัศสาวะ" กล่าวได้ว่าสังคมไทยได้รับรู้ในผู้รักร่วมเพศมานานแล้ว ต่อมาจึงมีการบัญญัติศัพท์ไว้เป็นที่ชัดเจนในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2493 และพจนานุกรมอื่นๆ เป็นต้นมา ความหมายของ "กะเทย" หมายถึงลักษณะที่กำกวมของอวัยวะเพศ หรือลักษณะสิ่งที่ไม่ปรากฏเพศ หรือลักษณะกลางๆ ไม่เป็นเพศใดเพศหนึ่ง ดังนั้น จะเห็นว่าความหมายดังกล่าวมีนัยเพียงด้านเดียว ทั้งนี้ในทางสังคมแล้ว "กะเทย" หรือผู้มี พฤติกรรมรักร่วมเพศจะมีความหมายที่กินความกว้างขวางกว่านั้น

นอกจากนี้การบันทึกทางประวัติศาสตร์เชื่อม โยงกับพฤติกรรมรักร่วมเพศในสังคมไทยอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ในปี ค.ศ.1634 นายโยส สเคาเต็น อดีตเจ้าหน้าที่การค้าของฮอลันดา ประจำกรุงศรีอยุธยา ถูกลง โทษประหารชีวิตโดยรัฐบาลของเนเธอร์แลนด์ที่เมืองปัตตาเวีย ในข้อหาว่าเป็นผู้มีพฤติกรรมรักร่วมเพศซึ่งเป็นความผิดอย่างร้ายแรงในสังคมตะวันตก นายสเคา เต็น ยอมรับสารภาพและอ้างว่าได้รับแบบอย่างพฤติกรรมรักร่วมเพศมาจากคนในกรุงศรีอยุธยา สันนิษฐานได้ว่า พฤติกรรมรักร่วมเพศมีมาแต่สมัยอยุธยาและ เป็นที่รับรู้กันแล้วในสังคม แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเฉพาะในราชสำนักและบ้านของขุนนางชั้นผู้ใหญ่เสียมากกว่าที่จะเป็นเรื่องของชาวบ้านธรรมดา ดังนั้นพฤติกรรม รักร่วมเพศจึงเป็นสิ่งที่ไม่ไกลเกินตัวในสังคมไทย

พฤติกรรมรักร่วมเพศได้เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แต่ ไม่มีการบันทึกหรือบอกเล่าไว้เป็นหลักฐานในทางประวัติศาสตร์ไทย เนื่องจากพฤติกรรมดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่อับอายและน่ารังเกียจเป็นอย่างยิ่ง ผู้ใดปฏิบัติจะ เป็นความอัปมงคลต่อตนเองและมัวหมองต่อวงศ์ตระกูลและครอบครัว ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ต้องปกปิดและไม่ต้องการให้ผู้ใดได้รับรู้ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม ต่อสังคม อีกทั้งอาจมีการลงโทษถ้าเป็นการสร้างความเสื่อมเสียให้กับบ้านเมือง

2. 2. กลุ่มผู้รักร่วมเพศไทยในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์

สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นยังมีเรื่องกรณีของกรมหลวงรักษรณเรศร พระราชโอรสในรัชกาลที่ 1 ซึ่งมีคณะโขนละครอยู่ในวังและผู้เล่นที่เป็นผู้ชายล้วนเพราะเป็นคณะละครนอก (พระบรมมหาราชวัง) ได้มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ กับบรรดาโขนละครที่เลี้ยงไว้ โดยไม่สนใจดูแลและเลี้ยงดูลูกเมียจนเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไป จนเป็นที่ขัดเคืองพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงโปรดเกล้าให้ ถอดจากกรมหลวงให้เรียกว่า "หม่อมไกรสร" ลงพระราชอาญาแล้วให้ไปสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ที่วัดประทุมคงคา อย่างไรก็ตามการตัดสิน ประหารชีวิตครั้งนี้บางกระแสระบุว่าเป็นเหตุผลด้านการเมืองว่าเป็นผู้มักใหญ่ใฝ่สูง มากกว่าพฤติกรรมรักร่วมเพศที่เป็นอยู่ ทั้งนี้กรมหลวงเทพพลภักดี ซึ่งเป็นพี่ ชายของกรมหลวงรักษรณเรศร ก็เป็นผู้มีพฤติกรรมรักร่วมเพศโดยไม่อยู่กินกับลูกเมียเช่นเดียวกัน แต่กลับไม่ถูกตำหนิหรือลงโทษแต่ประการใด อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมรักร่วมเพศก็เป็นประเด็นที่มีการกล่าวขานอย่างกว้างในสมัยดังกล่าว

ในประเทศไทยจึงมีพฤติกรรมรัก ร่วมเพศได้เกิดขึ้นมาช้านานโดยเฉพาะในกลุ่มชนชั้นสูงหรือในพระบรมราชวังหรือวังเจ้านาย จะพบเห็นเรื่องเหล่านี้อยู่เสมอ แต่เป็นเรื่องที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ และจะต้องปกปิด ถือเป็นเรื่องเสื่อมเสียเกียรติยศอย่างยิ่ง พฤติกรรมรักร่วมเพศในอดีตจึงเป็นเรื่องที่มีการบอกเล่าสืบทอดกันมา โดยไม่มีการบันทึกไว้อย่าง จริงจัง ทำให้การศึกษาในเรื่องนี้ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ก็มีการแทรกเรื่องนี้อยู่ในประวัติศาสตร์บางเรื่อง ทำให้พอจะรวบรวมและสันนิษฐานเกี่ยว กับเรื่องนี้ได้บ้าง

หลักฐานที่พอจะอ้างอิงได้เกี่ยวกับพฤติกรรมรักร่วมเพศชายหรือว่า "เล่นสวาท" ที่ บันทึกไว้เป็นหลักฐาน จากประชุมประกาศในรัชกาลที่ 4 ที่ได้บันทึกถึงความประพฤติของพระภิกษุด้วยข้อความที่ว่า "...บางจำพวกเป็นคนเกียจคร้าน กลัวจะเกณฑ์ให้ราชการ หลบลี้หนีเข้าบวชเป็นภิกษุ สามเณร อาศัยพึ่งพระศาสนาเลี้ยงชีวิต แล้วประพฤติอนาจารทุจริตต่างๆ จนถึงเล่นสวาทเป็นปาราชิกก็มีอยู่ โดยมาก..." อันแสดงให้เห็นว่าคำว่า "เล่นสวาท" เป็นที่ใช้กันอย่างกว้างขวางในยุคดังกล่าว

สำหรับพฤติกรรมรักร่วมเพศที่มีในผู้หญิงที่เรียกว่าเป็นการ "เล่นเพื่อน" มักเกิดขึ้นกับผู้หญิงชาววังเพราะอยู่รวมกันหลายคนของผู้หญิง ในเขตพระ ราชฐานที่ไม่มีผู้ชายเข้าไปปะปน จึงมีการประกาศใช้ กฎมณเฑียรบาลข้อที่ 124 ได้กล่าวถึงโทษของการกระทำความผิดดังกล่าวไว้ดังนี้ "อนึ่งสนม กำนัลคบผู้หญิงหนึ่งกัน ทำดุจชายเป็นชู้เมียกัน ให้ลงโทษด้วยลวดหนัง 50 ที ศักคอประจานรอบพระราชวัง ที่หนึ่งให้เอาเป็นชาวสตึง ที่หนึ่งให้แก่พระเจ้าลูก เธอหลานเธอ" พฤติกรรมเช่นนี้ของผู้หญิงในพระราชสำนักหรือในวังเป็นสิ่งที่โจษจันกันอย่างมากจนกระทั่งถึงต้นยุคกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 4 เคยมี พระราชหัตถเลขากำชับสั่งพระเจ้าลูกยาเธอฯ ทั้งหลายห้ามเล่นเพื่อนด้วย ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งจะเห็นว่าไม่มีการบัญญัติโทษผิดในเรื่องนี้สำหรับผู้ชายไว้ เลย

ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 บ้านเมืองมีความทันสมัยมากขึ้น ได้มีการออกกฎหมายที่พาดพิงถึงพฤติกรรมรัก ร่วมเพศเช่นเดียวกัน เนื่องจากพระองค์เสด็จไปเยีอนประเทศยุโรปหลายประเทศจึงได้รับแนวคิดเกี่ยวกับกฎหมายของตะวันตกเข้ามาใช้ในสังคมไทยในหลายๆ เรื่อง กฎหมายที่พระองค์ให้มีการบัญญัติใช้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ได้แก่ ประมวลกฎหมายลักษณะ ร.ศ.127 ในส่วนที่ 6 ที่ว่าด้วยความผิดที่กระทำอนาจาร หมวดที่ 1 ความผิดฐานกระทำอนาจารเกี่ยวกับสาธารณะ มาตรา 124 ที่กล่าวว่า "ผู้ใดกระทำชำเราผิดธรรมดามนุษย์ ด้วยชายก็ดี หญิงก็ดี หรือกระทำ ชำเราด้วยสัตว์เดียรฉานก็ดี ท่านว่ามันมีความผิด ต้องรวางโทษติดคุกตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป จนถึง 3 ปี แลให้ปรับตั้งแต่ 50 บาทขึ้นไปถึง 500 บาทด้วยอิกโสด 1" อันแสดงให้เห็นว่าสังคมไทยได้เกิดมีพฤติกรรมรักร่วมเพศมากขึ้นจนกลายเป็นปัญหาจึงมีการลงโทษเพื่อให้เลิกการกระทำนั้น หรืออีกนัยยะหนึ่ง ต้องการให้ประเทศชาติมีกฎหมายที่มีความศิวิไลซ์เท่าเทียมกับต่างประเทศ แม้ว่าประชาชนยังไม่มีประสบการณ์หรือมีความเข้าใจในพฤติกรรมรักร่วมเพศมาก นัก โดยถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีงามสำหรับสังคมไทยสมัยนั้น

ในรัชกาลที่ 6 ถือได้ว่าเป็นยุคที่สังคมไทยมีการรับเอา วัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาใช้ในสังคมไทยค่อนข้างมาก เพราะพระองค์ทรงศึกษาในประเทศอังกฤษตั้งแต่ทรงพระเยาว์ จึงมีการซึมซับในวัฒนธรรมของตะวัน ตกที่เป็นสิ่งดีหลายอย่าง นอกจากนี้พระองค์ทรงมีความเข้าใจในเรื่องพฤติกรรมรักร่วมเพศได้เป็นอย่างดี พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์บทความในหนังสือพิมพ์ ดุสิตสมิตของพระองค์ ในหัวเรื่อง "กะเทย" และ "ทำไมกะเทยจึงรู้มากในทางผัวๆ เมียๆ ?" เนื่องจากพระองค์ได้รับรู้ว่าในสังคมไทย ก็มีเรื่องลักษณะนี้เกิดขึ้นเช่นกัน แม้ว่าพฤิตกรรมรักร่วมเพศจะเกิดขึ้นไม่มากนักจนเป็นปัญหาความเสื่อมของสังคมไทย พระองค์ทรงต้องการให้การศึกษาและ การอธิบายให้ประชาชนได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งขึ้น เพื่อไม่เกิดการรังเกียจหรือทำร้ายบุคคลในกลุ่มดังกล่าว เพราะสังคมไทยเป็นสังคมที่ให้อภัยซึ่งกัน และกัน และเรื่องดังกล่าวก็ไม่ได้เป็นภัยที่ร้ายแรงต่อสังคม

ในสมัยรัชกาลที่ 7 นอกจากคำว่า " กะเทย" แล้ว ในสังคมไทยได้เรียนรู้จักคำว่า "Homosexual" เพิ่มขึ้นมาอีกคำหนึ่ง จากงานเขียนบทความเรื่อง "กามรมณ์และ สมรส" ในหนังสือรวมปกฐกถาเกี่ยวกับปัญหาชีวิตของคนทั่วไปตามหลักจิตวิทยา ได้กล่าวถึงคำว่า "Homo" ว่าหมายถึง เพศเดียวกัน หรือ ชายรักชาย หรือ หญิงรักหญิงไว้เช่นเดียวกัน ซึ่งมุ่งให้ความรู้ทางจิตวิทยามากกว่าที่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับพฤติกรรมรักร่วมเพศ พฤติกรรมรักร่วมเพศยังเป็นสิ่งที่ สังคมมีความเข้าใจที่แตกต่างกัน ดังนั้นเป็นยุคที่วงการแพทย์ไทยได้เริ่มเข้ามาศึกษาและหาแนวทางแก้ไขรักษากลุ่มที่มีพฤติกรรมดังกล่าว เพราะถือเป็น อาการป่วยอย่างหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม ความรู้ดังกล่าวก็แพร่หลายอยู่ในวงแคบๆ เท่านั้น สิ่งเหล่านี้ยังไม่ได้เป็นที่เข้าใจและคุ้นเคยของสังคมไทยมาก นัก

 


 

โพสท์โดย: Kenttt
อ้างอิงจาก: ตู่จะเก่าก็ใช่ว่า ทับยาในอดีต, วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
Kenttt's profile


โพสท์โดย: Kenttt
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
10 VOTES (5/5 จาก 2 คน)
VOTED: zerotype, มีร่า
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ทำไมสนมเมื่อออกจากวังหลวงจึงมีบุตรยาก? ฮ่องเต้ปูยีเปิดเผยความลับนี้ในประวัติศาสตร์จีน ชีวิตของภรรยาทหารที่เสียชีวิตในสงครามชีวิตจะเป็นอย่างไร?"พชร์" ลั่น! เรื่องของxึง xูไม่เสือxก็ได้..หลังจะช่วยเคลียร์ใจ "มอส-เต๋า" ทะเลาะกันเมื่อลูกค้าต่างชาติมาลองลำโพง เปิดเพลงเต้นกันมันจนลืมซื้อเลยน๊าถอนผมหงอก ยิ่งถอนยิ่งหงอกจริงหรือไม่ ดูแลเส้นผมอย่างไรเมื่อเริ่มมีผมหงอกช็อก! "กงยู" พระเอกสุดฮอตเผยเป็นทายาทรุ่นที่ 79 "ขงจื๊อ"มีผู้เสียชีวิต 32 ราย หลังเกิดความรุนแรงทางศาสนาครั้งใหม่ ในปากีสถานแน็ก ชาลี ยอมรับ อักษรย่อ ว. คือแม่ผมเอง ลั่นพร้อมจ่ายแทนเต็มที่ดอกซากุระบาน ที่ดอยอ่างขางผู้นำรัสเซียยกหนี้ให้แก่ผู้ที่สมัครไปรบในยูเครนหลังคาเขียวแห่ง Mykines: สถาปัตยกรรมที่งดงามท่ามกลางธรรมชาติหมู่เกาะแฟโรข่าวเศร้า อาลัยต่อ ตุดยอด จากไปอย่างสงบ
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
ดอกซากุระบาน ที่ดอยอ่างขางเมื่อลูกค้าต่างชาติมาลองลำโพง เปิดเพลงเต้นกันมันจนลืมซื้อเลยน๊าศพสะดุ้งคืนชีพขี้นมา..ในวินาทีสุดท้ายก่อนจะถูกเผาแน็ก ชาลี ยอมรับ อักษรย่อ ว. คือแม่ผมเอง ลั่นพร้อมจ่ายแทนเต็มที่ภูเขาน้ำแข็ง : ความมหัศจรรย์แห่งธรรมชาติที่เต็มไปด้วยความสำคัญและอันตราย
กระทู้อื่นๆในบอร์ด เกย์
เอริค Werewolf หนุ่มกล้ามโต ลีลาเด็ด เป้าตุง เซ็กซี่ ยั่วยวน ไม่ธรรมดาออสก้า ธนัช Oscarland นายแบบ เน็ตไอดอล หนุ่มหล่อ หุ่นแน่น ผิวเนียนลูกบาส bas nattpol หนุ่มหล่อ หน้าใส ดาวทวิต เป้าตุง ลีลาเด็ด สุดแซ่บกลอฟ์ satit yodsane นายแบบ หุ่นแซ่บ สักลาย กล้ามแน่น เป้าตุง
ตั้งกระทู้ใหม่