สัญญาณอันตรายของ EEC โดย สิริอัญญา
สัญญาณอันตรายของ EEC
โดย สิริอัญญา
วันอังคารที่ 6 ตุลาคม 2563
ในช่วงเริ่มแรกของรัฐบาล คสช. ได้ขับเคลื่อนแผนงานจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ 9 เขตขึ้นก่อนประเทศใด ๆ ในอาเซียน เพื่อให้เป็นฐานระดมการลงทุน การจ้างงาน และการสร้างรายได้ให้กับประเทศ แต่ในที่สุดก็เลิกล้มไปและไปขับเคลื่อนเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน EEC แทน
ความจริงพื้นที่ EEC คือระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรานั้นไม่ใช่ระเบียงเศรษฐกิจเพราะไม่ใช่พื้นที่ติดชายแดนและอยู่ในที่อับ พื้นที่ไม่มากนัก และเป็นพื้นที่ที่ขาดแคลนทั้งไฟฟ้าและน้ำ ทั้งมีปัญหาสภาพพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่สีเขียวที่ต้องสงวนไว้สำหรับแผ่นดิน
แต่ในที่สุดก็เดินหน้าโครงการ EEC มีการให้สิทธิพิเศษชนิดสุดวิเศษ เช่น ให้ต่างชาติเช่าที่ดินได้ 99 ปี ไม่ต้องเสียภาษี 13 ปี มีสิทธิพิเศษในการเข้าเมืองและในการพำนักในประเทศไทย จนถูกกล่าวขานกันว่าเป็นการเสียอธิปไตยให้กับต่างชาติ เพราะคนไทยในพื้นที่อื่นต้องเสียภาษีตามที่กฎหมายกำหนด ไม่มีสิทธิพิเศษในการเข้าเมือง และการเช่าที่ดินก็เช่าได้ไม่เกิน 30 ปี
หลังจากนั้นก็มีการทุ่มเทเงินลงทุนและขับเคลื่อน EEC กันราวกับว่าเป็นโครงการที่ชี้เป็นชี้ตายของประเทศ ในขณะที่ปัญหาเรื่องน้ำ เรื่องไฟฟ้า ที่ต้องไปซื้อหาจากกัมพูชาในราคาแพงลิบลิ่ว และต้องเดินสายทั้งไฟและน้ำเองเป็นมูลค่าหลายแสนล้านบาท ซึ่งขณะนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าไปกันถึงไหน
จากนั้นก็มีการทุ่มเทพัฒนาพื้นที่ EEC และไปลากเอาโครงการสนามบินอู่ตะเภา โยงมาถึงที่ดินรถไฟมักกะสัน แอร์พอร์ตลิ้งค์ไปถึงดอนเมือง ให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ลงทุนชนิดไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนเลยในประเทศไทย
ในขณะเดียวกันก็มีเสียงทักท้วงกึกก้องว่าเป็นการกระทำที่ไม่คุ้มและจะไม่มีทางทำให้เศรษฐกิจไทยได้รับผลสำเร็จอะไรขึ้นมาได้ เพราะไม่สามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้
เนื่องจากพื้นที่ EEC นั้นถ้าผลิตสินค้าเพื่อจัดส่งออกไปยังด้านตะวันออก ไม่ว่าจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น หรือสหรัฐอเมริกา หรือแคนาดา ก็สู้การลงทุนที่เวียดนามหรือที่สีหนุวิลล์ของกัมพูชาไม่ได้ เพราะสามารถออกลัดตัดตรงไปทางด้านตะวันออกโดยประหยัดเวลาเดินเรือถึง 2-3 วัน
และจากพื้นที่ EEC นั้นถ้าจะผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปยังด้านตะวันตกไม่ว่าอินเดีย แอฟริกา หรือยุโรป ก็สู้การลงทุนที่ทวายของพม่าหรือที่ศรีลังกาไม่ได้ เพราะสามารถออกลัดตัดตรงไปยังตะวันตกได้โดยไม่ต้องผ่านช่องแคบมะละกาที่ติดขัดแออัดราวกับถนนสุขุมวิท
กระทั่งมีผู้ชี้ให้เห็นว่าถ้าลงทุนพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทั้ง 9 เขตซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน และประเทศไทยมีความได้เปรียบมากที่สุด และปกติก็มียอดการค้ารวมกันปีละถึง 1 ล้านล้านบาทอยู่แล้ว หากพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ 9 เขต ประเทศไทยก็จะเป็นศูนย์กลางการค้าของอาเซียนที่มีตลาดใหญ่ถึง 650 ล้านคน และถ้ารวมกับจีนก็จะมีขนาดถึง 2,050 ล้านคน
แต่ก็หามีใครเชื่อฟังไม่! แต่ละวันก็มีการตีฆ้องร้องป่าวว่ามีผู้มาลงทุนเท่านั้นเท่านี้ ในขณะที่ความจริงก็รู้ ๆ กันอยู่ว่านอกจากการยื่นคำขอเป็นกระดาษที่ยังห่างไกลจากการลงทุนจริงแล้ว การลงทุนจริง ๆ นั้นเป็นเท่าใด และทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงนักลงทุนจากญี่ปุ่น
แต่แล้วข่าวคราวการปิดโรงงานจากภาคตะวันออกโดยเฉพาะพื้นที่ใน EEC ก็เป็นข่าวให้ได้ยินกันเป็นระยะ ๆ และมีการแก้ข่าวแก้ตัวกันเป็นครั้งเป็นคราว จนเกิดความงุนงงสงสัยกันโดยทั่วไป
จนกระทั่งรายล่าสุดกิจการในเครือยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นคือพานาโซนิคได้ปิดโรงงานในพื้นที่ EEC ทำให้คนงานตกงานจำนวนมาก ตอนแรกก็มีการออกข่าวว่าเป็นเพียงแค่การปิดโรงงานชั่วคราว ซึ่งทำให้เข้าใจได้ว่าอาจเกิดจากโคขวิด
แต่บัดนี้ความจริงถูกเปิดเผยชัดเจนแล้วว่าเป็นการปิดโรงงานเพื่อย้ายฐานการผลิตไปตั้งที่เวียดนาม และเป็นการเคลื่อนย้ายฐานการผลิตในลักษณะเป็นกระบวน คือ กิจการลงทุนของญี่ปุ่นในภาคตะวันออกของประเทศไทยกำลังขยับขยายย้ายไปลงทุนที่เวียดนาม
หมายความว่าญี่ปุ่นกำลังเปลี่ยนฐานการผลิตไปอยู่ในจุดที่จะได้เปรียบในระบบลอจิสติกส์มากที่สุดของอาเซียนในการส่งสินค้าไปขายด้านตะวันออกนั่นคือเวียดนาม
ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่าการปิดโรงงานชนิดนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดาและไม่ใช่เรื่องโคขวิดเสียแล้ว แต่เป็นกระบวนการย้ายฐานการผลิตของกิจการของญี่ปุ่นที่ลงทุนในประเทศไทยไปเวียดนาม ซึ่งจะเป็นสัญญาณร้ายต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย
เพราะประเทศไทยพึ่งพาการลงทุนจากญี่ปุ่นมากที่สุด และช่วยกันอำพรางการลงทุนจากญี่ปุ่นที่มีอภิสิทธิ์มากหลายว่าเป็นการลงทุนของจีน กล่าวหาว่าจีนยึดดินแดนประเทศไทย เอาเปรียบคนไทยทั้ง ๆ ที่การลงทุนจากจีนนั้นน้อยมาก แค่กรอบการลงทุนที่ตั้งเป้าของคณะกรรมการประสานงานการค้าไทย-จีน แค่ปีละ 7,000 ล้านบาทก็ยังไม่เคยถึงเลย
ดังนั้นการย้ายฐานการผลิตของญี่ปุ่นไปเวียดนามจึงอาจส่งผลกระทบและซ้ำเติมการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างรุนแรง ซึ่งควรที่ผู้มีอำนาจอำนาจหน้าที่รับผิดชอบต้องรีบคิดอ่านหาทางป้องกันแก้ไขให้ทันท่วงที
มิฉะนั้นภาวะการเลิกจ้าง การว่างงาน การทรุดตัวลงของการส่งออกและการพัฒนาประเทศและการลงทุนก็จะถึงกาลย่อยยับอับจน.