ส่องมาตรการเยียวยา COVID-19 ทั่วโลก ช่วยคนตกงานอย่างไรบ้าง ?

เมื่อทั่วโลกต้องตกอยู่ในหลุมดำของโควิด-19 ซึ่งประเทศไทยก็ตกอยู่ในวิกฤตินี้เช่นกัน เรียกว่าหนักหนากว่าวิกฤตทางเศรษฐกิจอื่นๆ ที่เคยเจอมาในอดีต ข้อมูลจาก สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติก็ได้ออกมาระบุแล้วว่า GDP ของประเทศไทยในไตรมาส 2 ลดลง 12.2% ซึ่งคาดว่าในระยะต่อจากนี้จะอยู่ในภาวะ “L-Shape”  (หมายถึงภาวะเศรษฐกิจหดตัวยาวนาน ไร้สัญญาณการฟื้นตัว)

เพราะนอกจากปัจจัยคุกคามด้านโรคระบาดที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกันและหวั่นเกรงต่อการระบาดซ้ำในระยะที่ 2 ไทยเรายังเจอกับปัญหาสงครามการค้าจีน- สหรัฐ และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์รุมเร้าอยู่รอบด้าน และตราบใดที่วิกฤติครั้งนี้เรายังไม่สามารถเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวได้ ก็คงต้องอาศัยการกระตุ้นเศรษฐกิจของผู้คนในประเทศกันไปก่อน

ซึ่งผลพวงจากการปิดประเทศ และผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ทำให้เกิดปัญหาวิกฤตคนตกงานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะภาคธุรกิจเองก็ไปต่อไม่ไหว มีการเลิกจ้างและปิดกิจการเป็นจำนวนมาก

ทำให้เวลานี้ทางด้านฝั่งรัฐบาลต่างก็เร่งแก้ปัญหาการว่างงาน โดยหนึ่งในแนวคิดของแผนการฟื้นฟูประเทศจากสถานการณ์โควิด-19 ที่คาดว่าจะมีการนำมาใช้ ก็คือการที่ รัฐช่วยอุดหนุนเงินให้ผู้ประกอบการ เพื่อให้เกิดการจ้างงานใหม่ เป้าหมายก็เพื่อช่วยเหลือนักศึกษาจบใหม่ ให้มีงานทำ และฝั่งผู้ประกอบการเองก็ได้ศักยภาพของคนรุ่นใหม่ เข้ามาเป็นกำลังความสามารถขององค์กรเพิ่ม

จะว่าไปแล้วมาตรการอุดหนุนเงินช่วยของภาครัฐในลักษณะนี้ คล้ายคลึงกับที่หลายประเทศทั่วโลกนำมากู้วิกฤติคนตกงาน และช่วยพยุงเศรษฐกิจจากโควิด19 ซึ่งจากการลองค้นคว้าข้อมูลดูจากหลายๆประเทศก็มีหลายประเทศทั่วโลกทำกัน

ประเทศสมาชิกในสหภาพยุโรป

รัฐจ่ายเงินอุดหนุนค่าแรงที่เสียรายได้จากชั่วโมงการทำงานที่ลดลง โดยบริษัทผู้จ้างงานที่อยู่ในมาตรการนี้จะต้องไม่ปลดแรงงานออก และแรงงานจะยังคงได้รับค่าจ้างต่อไปในสัดส่วนที่รัฐบาลอุดหนุนให้

เยอรมนี

อุดหนุนค่าจ้างแก่ลูกจ้างครอบคลุมไปถึงพนักงานชั่วคราว ประมาณ 2.35 ล้านคน ที่ได้รับผลกระทบเป็นสัดส่วน 60% ของค่าจ้างในชั่วโมงการทำงานที่ลดลง และจ่ายเงินสมทบประกันสังคมเต็มจำนวนให้แก่พนักงาน โดยบริษัทจะจ่ายให้ ลูกจ้างก่อน และเบิกจากหน่วยงานรัฐภายหลัง

อังกฤษ

จ่ายเงินช่วยเหลือให้กับบริษัทที่ไม่ได้เลิกจ้างพนักงานสูงสุดถึง 80% หรือเดือนละ 2,500 ปอนด์ต่อคน เป็นระยะเวลา 3 เดือน หรืออาจมีการขยายเวลาเพิ่มเติม เพื่อช่วยเหลือไม่ให้ลูกจ้างตกงาน

เกาหลีใต้ ทุ่มงบประมาณ 9.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อุดหนุนค่าจ้างให้ลูกจ้างขนาดเล็ก-ขนาดกลาง

เนเธอร์แลนด์ ช่วยนายจ้างจ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างที่ถูกลดเวลาทำงาน (รัฐออกให้ร้อยละ 75 นายจ้างออกร้อยละ 25)

นิวซีแลนด์ รัฐช่วยจ่ายค่าจ้าง 585 ดอลลาร์สหรัฐต่อสัปดาห์ให้แรงงานเต็มเวลา โดยนายจ้างจะได้เงินก้อนไปเลยสำหรับแรงงานเป็นเวลา 12 สัปดาห์ (นายจ้างคนนึงได้มากสุด 150,000 ดอลลาร์สหรัฐ)

ซึ่งสำหรับประเทศไทยนั้น จากรายงานข่าวกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่า การแก้ปัญหาว่างงานเป็นนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม โดยได้มอบหมายให้ นายสุชาติ ชมกลิ่น ดำเนินการเร่งด่วน ภายใต้รูปแบบรัฐบาลครึ่งหนึ่ง นายจ้างครึ่งหนึ่ง มีเป้าหมายจ้างกลุ่มผู้สำเร็จการศึกษาในปี 2562-2563 ที่ยังว่างงาน ระดับระดับปริญญาตรี ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.) และประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) โดยรัฐบาลจะช่วยจ่ายค่าจ้างให้ 50% ของเงินเดือน แต่ไม่เกิน 7,500 บาท/คน/เดือน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการในเดือนตุลาคมนี้

ซึ่งล่าสุด 2  บริษัทใหญ่ในบ้านเราได้นำร่องการจ้างงานบัณฑิตจบใหม่แล้วได้แก่ เครือซีพีฯ และ ปตท. โดยทางเครือซีพี นำโดย “ศุภชัย" ซีอีโอเครือซีพี ได้ประกาศผนึกกำลังบริษัทในเครือฯ ซีพีเอฟ ซีพีออลล์ ทรู สยามแม็คโคร จ้างงานนักศึกษาจบใหม่เพิ่ม 28,000 อัตราทั่วประเทศ ช่วยแก้ปัญหาคนว่างงานก้าวผ่านโควิด 

และในส่วนของ บริษัทกลุ่มปตท. ก็ได้เปิดโครงการ “Restart Thailand” เตรียมจ้างแรงงาน - นักศึกษาจบใหม่กว่า 25,000 อัตรา แล้วเช่นกัน

นับว่าเป็นโจทย์สำคัญและเร่งด่วนสำหรับภาครัฐ ที่เป็นผู้กำหนดนโยบายและกุมงบประมาณในการฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมไม้ร่วมมือจากฝั่งทุกฝ่ายร่วมกัน ความเสียสละ และจับมือกันให้ประเทศชาติผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปให้ได้ แม้จะมีเสียงวิจารณ์ซุบซิบวิพากวิจารณ์ว่า รัฐบาลนี้ชอบ  “เอื้อเอกชน” ก็ให้จงมองข้ามไป เพราะจากสภาพความเป็นจริงที่เห็นๆกันอยู่ตอนนี้ มันคือ “เอกชนเอื้อรัฐ”ชัดๆ บ้านเมืองเกิดวิกฤตทีไร ก็มีแต่ภาคเอกชนภาคธุรกิจนี่แหละที่เป็นที่พึ่ง และหลังพิงให้ประเทศชาติมาตลอด.

ขอบคุณภาพประกอบ :marketing oops