คน..ปากดี 2
คน..ปากดี 2
เมื่อวันก่อนเล่าไปแล้วว่า....ในอดีตเมื่อครั้งทำงานในบริษัทขนาดใหญ่
ต่อให้เราทำงานเก่งกาจขนาดไหน มันก็ไม่ก้าวหน้า หรือเติบโตช้ามาก
ส่วนคนที่ทำงานได้ดีพอสมควร แต่เก่งกาจเรื่องการพรีเซ้นท์ การพูด การแสดงออกในที่ประชุม
หรือคนที่เจ้านายดูแล้ว ฟังแล้ว ประทับใจเกิดความรู้สึกที่ดี มองว่าเป็นมืออาชีพ
คนพวกนี้ก็จะรุ่งเรืองไปในสายงาน เติบโตไต่เต้าขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
จะได้รับการโปรโมทให้เป็นระดับหัวหน้า ผู้จัดการ หรือระดับมันสมอง
แล้วคนพวกนี้ ก็หยิบยกเอาผลงานของคนที่ทำงานเก่ง แต่พูดไม่เป็น
เอาไปแสดงแถลงว่าเป็น....ผลงานของพวกเค้า
ซึ่งมันก็จริง เพราะมันเป็นผลงานในทีม ในแผนกของคนพูดเก่งที่ได้ยกระดับเป็นหัวหน้าทีมไปแล้ว
มาคิด ๆ ดูจะไปโกรธเกลียดคนพูดเก่ง พรีเซ้นท์เก่งไม่ได้
ถ้าจะโทษ....ก็ต้องโทษตัวเราเองนี่แหละ
ที่มันช่างอ่อนด้อยในเรื่องการพูดจาในที่ประชุม ต่อหน้าคนมากมาย
มัวแต่...เอ้อ....อ้า...อึกอัก ตกม้าตายต่อหน้านายใหญ่ซะนี่
เอาละ..ในเมื่อรู้แล้วว่าอ่อนด้อยในเรื่องไหน เราก็ไปซ่อมแซมในเรื่องนั้นซะสิ
เราไม่เอาไหนเรื่องการแสดงออก อ่อนด้อยเรื่องพิธีการอันเป็นสากล อ่อนใจกับความตื่นเต้นต่อหน้าฝูงชน
ก็ไปเรียนรู้ ฝึกฝน เอาชนะมันให้ได้
สู้...สู้........สู้ โ ว้ ย ย ย ย ย
ยุคนี้เค้ามีคนสอน มีช่วยเราได้ ผมรีบไปเสริชหาในกูเกิ้ลเจอ ....เดอะ เบสท์ สปีช
และอีกหลายแห่ง
แต่ที่นี้ทั้งราคา ช่วงเวลา และสถานที่ ดูมันพอเหมาะกับเรา ไม่ถูกไม่แพง ไปมาสะดวก
ประวัติการสอน เปิดมาตั้งเกือบ 200 รุ่นแล้ว
ดูน่าเชื่อถือ เมื่อเทียบกับของรายอื่น ๆ
พอลองเข้าไปดูคลิป ก็เห็นได้ว่า....บางแห่งเค้าออกแนว ฮาร์ดคอร์
ออกแนวเร้าใจ ปลุกระดม คล้าย ๆ กับพวกสอนการขายประกันฯ
บางแห่งก็เยิ่นเย้อ วิชาการซะเหลือเกิ๊นนน
และที่ผมมองอีกอย่าง คือ วิทยากร หรือผู้สอนบางคนดูอายุน้อย ดูเด็กเกินไป
เค้าอาจจะเก่งจริง แต่ผมกลัวว่าจะไปกันไม่รอด
วันแรก....
หลังจากได้พบเจอ ท่าน อ.แสงธรรม และ อ.อลิษา ผู้จะเป็นครูมาสอนเราแล้ว
อาจารย์ ก็เร่ิมปรับสภาพความคิดให้เราเห็นภาพการเรียนการสอนที่จะได้เจาะลึกกัน
มีการให้แนะนำตัวต่อหน้าคนอื่น บนเวที
ในการอบรมรุ่นนี้ บังเอิญคนไม่เยอะ มีกัน 9 คน
มาจากหลากหลายจังหวัด เหนือ อีสาน ตะวันออก และภาคใต้
หลากหลายอาชีพมีทั้งระดับพนักงาน หัวหน้า ข้าราชการครู ผู้รับเหมาก่อสร้าง เจ้าของกิจการ
ไปจนถึงคนระดับด๊อกเตอร์ ในองค์กรการไฟฟ้าฯ
พอพวกเราทุกคนได้โจทย์แล้วว่า...จะต้องออกไปพูดหน้าเวที หน้าไมโครโฟนที่ตั้งเด่ อย่างน่าเกรงขามกันแล้ว
ก็แอบเครียดขึ้นมาตามประสาคนกลัวไมค์ กลัวคนแปลกหน้า
แต่ก่อนอื่นเลย ท่านอาจารย์ได้มาสอนการ ปรับระดับไมโครโฟนให้เหมาะสมกับตัวเรา
ไม่ให้มันสูงเกินไป ต่ำเกินไป จะได้ไม่ต้องชะเง้อชะแง้ หรือก้มตัวเข้าหาไมค์
ผมก็เพิ่งจะรู้ว่า...ไอ้หน้าที่ ปรับระดับไมค์เนี่ย มันเป็นของเรา ของคนพูด
หลงคิดมาตั้งนานว่า ห้ามแตะต้องมันซะอีก โง่มาตั้งนาน
และสอนการยืนใกล้ ไกลแค่ไหนจากไมค์
แถมเน้นย้ำนักหนาว่า...ห้าม เทสก์ไมค์ ฮา..โหล ฮาโหลลล
หรือเคาะฟังเสียง ก๊อก ๆ ๆ ที่หัวไมค์ อย่างเด็ดขาด
เพราะมัน เห่ยย มันเชย และสร้างอารมณ์เสียให้กับผู้ฟังก่อนที่จะเริ่มพูดซะแล้ว
แหม..ม...บอกตรง ๆ ว่าไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้เล๊ยยย
การยืนตรงอกผาย ไหล่ผึ่งสำหรับผู้ชาย
และการยืนเบี่ยงเล็กน้อยพองาม สำหรับผู้หญิง
การจัดการกับแขนขา มือ นิ้ว
เพราะเมื่อขึ้นไปยืนเด่นเป็นสง่า อยู่บนเวทีแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมมือไม้ แขนขา มันช่าง...เกะกะ ไปหมด
จะยืนตรงเป็นต้นเสา จะหย่อนขาแก้เครียด หรือจะเอามือที่มี 2 ข้างเอาไปไว้ตรงไหนดี
แนบลำตัว แบบทหาร หรือกุมเป้าดีกว่ากัน
นิ้วมือนี่ก็เหมือนกัน มันเยอะแยะ ยุ่บยั่บไปหมด
อาจารย์แสงธรรม ได้สอนวิธีแก้ความประหม่า ตื่นเต้น
โดยให้ปรับความคิดของเราซะก่อนว่า...ไอ้คนที่นั่งฟังกันทั้งห้อง มันก็ คน เหมือนกับเรานี่แหละ
ไม่ได้น่ากลัว น่าเกรงขามอะไร
เฮ้อออ ....อาจารย์ท่านพูดง่าย ก็ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์แบบที่ผมเคยเจอนี่นา
ซึ่งมีทั้งเจ้านายใหญ่ เจ้านายเล็ก ที่พร้อมจะให้คุณให้โทษเราได้ทุกนาที
และยังมีคนระดับต่ำกว่า ที่จะตัดสินว่าเราสมควรจะเป็นที่พึ่งของพวกเค้าได้มั้ย
ผมถึงบอกแล้วไงว่า....เวทีมันน่ากลัว
โจทย์ที่เราต้องทำ คือ...แนะนำตัวเรา เล่าถึงอดีต ความเป็นมา
บอกถึงปัจจุบัน และอนาคตที่มุ่งหมาย แถมคติประจำตัว
ในเวลา 3 นาที อย่างไม่ธรรมดาด้วยนะ
แต่ก่อนอื่น...สิ่งที่ต้องทำอันเป็นมารยาทของการพูดบนเวที ต่อหน้าชุมชน
คือ....การทักทายที่ประชุม
อู้ยยย...เพิ่งรู้นะว่า เราต้องทักที่ประชุม ทู้กก ครั้งที่รับไมค์ขึ้นพูด
การทัก ก็เริ่มจากดูว่า ใครหน้าไหน ท่านใดที่ใหญ่ที่สุด สำคัญที่สุดในที่นั้น
เช่น....ท่านผู้อำนวยการ ผู้จัดการ ท่านประธาน ท่านหัวหน้า ฯลฯ
และไล่ไปที่ผู้ร่วมประชุม ร่วมอยู่ในที่นั้น
ไปจบที่...และท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย
อันนี้เป็นการโหมโรง อันเป็นมารยาทสากลที่เค้าทำกันทั่วโลก
แต่ที่สำคัญกว่านั้น ที่เราไม่เคยรู้มาก่อนเลย
ว่ามันเป็นการ....สะกดจิตผู้ฟัง ตั้งแค่คำแรก
คงเห็นภาพแล้วนะครับ ว่าการเรียนศิลปของการพูด
นี่มันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ หรือเรื่องกระจิ๊บกระจ๊อย เล็กน้อย
แต่มันเป็น...ศาสตร์ และศิลปะ
ที่ต้องเอาใจใส่อย่างยิ่ง
เพราะ...ช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เราออกไปพูด ออกไปแสดงตัว
มันเป็นช่วงทองของโอกาส
หรือเป็นช่วงเวลาสุดเลวร้าย ของชีวิตการงาน
อนณ นิศารัตน์