เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์แจ้ง "ไม่มีพ่อไม่นับเป็นครอบครัว" ชาวเน็ตพากันโกรธแทน
เรื่องนี้โพสต์โดยผู้ใช้เฟซบ๊คที่ชื่อ Microphone Sfw เธอพาคนในครอบครัวไปพิพิธภัณฑ์แล้วเจอแคมเปญส่งเสริมว่า วันอาทิตย์มาเป็นครอบครัวเข้าชมฟรี แต่พอเอาเข้าจริงแล้ว ครอบครัวของเธอกลับเข้าชมฟรีไม่ได้ เพราะสาเหตุที่เจ้าหน้าที่แจ้งกับเธอว่า "ไม่มีพ่อไม่นับเป็นครอบครัว" ทำให้เธอรู้สึกโกรธและขุ่นมัวในใจเป็นอย่างยิ่ง ต้องมาบอกเล่าเรื่องราวนี้ให้กับสาธารณชนได้รับรู้
เนื้อหาทั้งหมดของโพสต์มีอยู่ว่า...
วันนี้ไมกับครอบครัว (พี่สาว 2 คน น้องสาว 1 คน และหลานชาย 1 คน) ได้มีโอกาสไปพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงวัตถุโบราณแห่งหนึ่งค่ะ ตอนไปถึงมีป้ายติดที่หน้าประตูทางเข้าตึกว่า “วันอาทิตย์/วันครอบครัว ครอบครัวเข้าชมฟรี” (ไมยังแซวๆ กันเองเลยว่ามาถูกวันสะด้วย ได้เข้าฟรี เพราะไมไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีวันที่เข้าชมฟรีได้ด้วย) แต่พอถึงที่ขายตั๋วเข้าชม คุณน้าเจ้าหน้าที่คิดเงินทั้งหมด 120 บาท โดยเด็กไม่ต้องเสียค่าเข้าชม (หลานชายอายุ8ขวบ) ไมสงสัยเรื่องป้ายที่บอกวันครอบครัวเข้าชมฟรี เลยถามว่าวันนี้ไม่ได้เข้าชมฟรีหรอคะ ทางคุณน้าเจ้าหน้าที่ตอบกลับมาว่า “ไม่มีพ่อ ไม่นับเป็นครอบครัวค่ะ” ตอนนั้นบอกตรงๆ ในใจรู้สึกโกรธมากและมีคำถามมากมายเกิดขึ้นในหัว (ก่อนอื่นอยากบอกว่า โดยส่วนตัวไม่ได้มีปัญหากับการจ่ายค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์เลยสักนิดนะคะ เข้าใจและเห็นด้วยกับการเก็บค่าเข้าชมอยู่แล้ว)
ในครอบครัวของไม ไมเสียพ่อไปตั้งแต่อายุ8ขวบ มีพี่สาวที่ไม่ได้อยู่กับพ่อตั้งแต่เด็ก มีน้องสาวและหลานชายที่พ่อกับแม่แยกทางกัน โดยเราทั้งหมดอยู่ด้วยกันที่ฝั่งของแม่และเป็น “ครอบครัว” เดียวกัน ประโยคนั้นมันทำให้เราตระหนักว่าค่านิยมกระแสหลักและโครงสร้างในสังคมไทยมันคอยแต่จะกีดกันคนที่ไม่ได้เป็นตามมาตรฐานให้กลายเป็นชายขอบจังเลย ไม่ใช่แค่ครอบครัวไม ยังมีอีกกี่ร้อยกี่พันครอบครัวที่เขาไม่ได้อยู่กันแบบ “พ่อแม่ลูก” หรือพ่อแม่ลูกของเขานั้นไม่ได้มีแค่ ช-ญ และลูก เด็กที่เติบโตมากับปู่ย่าตายายนับว่าเขาเป็นครอบครัวกันหรือไม่ เด็กที่เติบโตมากับพ่อแม่ lgbt+ สังคมเราจะไม่นับเขาเป็นครอบครัวกันเลยหรอ ถ้ามีใครสักคนที่เติบโตมากับพ่อหรือแม่เลี้ยงเดี่ยวแล้วเจอคำพูดว่า “ไม่นับเป็นครอบครัว” ทั้งจิตใจของเด็กที่ฟังและพ่อหรือแม่ หรือคนที่เป็นผู้เลี้ยงดูต้องรู้สึกยังไง ใครจะรับผิดชอบตรงนี้
ที่ไมโกรธ ไม่ใช่โกรธคุณน้าเจ้าหน้าที่คนพูด ทุกคนในพิพิธภัณฑ์ดูใจดีและเป็นกันเอง แต่ไมกำลังโกรธคนที่คิดหาทำเรื่องนี้ คนที่บรีฟงาน คนที่กำหนดค่านิยมและโครงสร้างต่าง ๆ ในสังคมนี้ คนที่ทำให้มันเละเทะขนาดนี้ นี่ปี 2020 แล้ว ประเทศไทยยังย่ำอยู่กับครอบครัวที่มีแค่ “พ่อ แม่และลูก” = “ชาย หญิงและลูก” อยู่เลย สำหรับไมนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กนะคะ ไม่ใช่เรื่องที่เราจะมาพูดกันว่าเรื่องแค่นี้เอง และการมาโพสแบบนี้ก็ได้แต่หวังว่าจะมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย เรามีสิทธิ์ตั้งคำถามและถามคำถามกับเรื่องแบบนี้ และไมเองก็ขอใช้พื้นที่ตรงนี้ในการตั้งคำถาม ถ้าผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวมองข้ามประเด็นต่าง ๆ ที่ไมเขียนไว้ด้านบน ก็หวังว่าโพสนี้อาจทำให้ท่านทราบว่าควรตระหนักประเด็นเหล่านี้ได้แล้ว หรืออย่างน้อยโพสนี้อาจทำให้คนที่อ่านจนจบ ได้คิดและตั้งคำถามกับประเด็นเหล่านี้มากขึ้น
สุดท้ายนี้ขออนุญาตพูดถึงเรื่องพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทยสักหน่อยนะคะ โดยส่วนตัวเป็นคนที่ชื่นชอบการเข้าพิพิธภัณฑ์ เคยเป็นอาสาสมัครพิพิธภัณฑ์รวมถึงเคยไปพิพิธภัณฑ์ที่ต่างประเทศมาหลายที่ มันสะท้อนให้เราเห็นว่าประเทศไทยแทบจะไม่ให้ความสำคัญกับพิพิธภัณฑ์เลย มองข้ามงานศิลปะและพื้นที่ในการแสดงออก มีกลุ่มคนที่เห็นคุณค่าและพยายามผลักดันแต่เราคงต้องยอมรับว่าผู้มีอำนาจในการจัดการไม่ได้ให้ความสำคัญที่มากพอพิพิธภัณฑ์ไม่ใช่แค่สถานที่เก็บของเก่า พิพิธภัณฑ์เป็นทั้งแหล่งเรียนรู้ เป็นพื้นที่แสดงความเป็นมาของแต่ละสิ่ง แต่ละสังคม หากแคมเปญ “ครอบครัว เข้าชมฟรี ในวันอาทิตย์” เป็นความพยายามที่จะให้ผู้คนสามารถเข้าถึงพิพิธภัณฑ์ได้มากขึ้น เป็นเรื่องที่ดีค่ะ แต่ก็ยังสะท้อนถึงโครงสร้างที่มันบิดเบี้ยวและต้องแก้ไขอยู่ดี
ปล. สามารถร่วม discuss กันได้นะคะ เพราะไม่รู้จะต้องเริ่มยังไงและไม่อยากปล่อยผ่านให้เป็นแค่อารมณ์โกรธและหายไปเฉย ๆ เลยมาโพสแบบนี้ หวังลึก ๆ ว่าจะสามารถส่งเสียงอะไรได้บ้าง
เลยกลายเป็นคำถามให้เราต้องมาขบคิดกันอย่างจริงจังว่า ในสังคมเราทุกวันนี้...เราไม่ควรยึดติดคำว่าครอบครัวที่ต้องมี พ่อ แม่ และลูก เท่านั้น ถึงจะเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ต่อไปนะ ด้วยเหตุผลและความจำเป็นหลายอย่างก็ทำให้หลายๆ คนไม่สามารถรักษาสถานะครอบครัวในอุมคติแบบเก่าๆ เอาไว้ได้ บางทีครอบครัวที่แท้จริงคือคนที่อยู่ร่วมกันด้วยความรักความห่วงใย ดูแลซึ่งกันและกัน เพียงเท่านี้ก็น่าจะนับว่าเป็น 'ครอบครัว' แล้วมิใช่หรือ?