"พ่อแม่" คนธรรมดาที่ทำผิดพลาดได้ "ลูก" คนธรรมดาที่ไม่ควรแบกรับภาระทางใจจากพ่อแม่ของเขา
"พ่อแม่" คนธรรมดาที่ทำผิดพลาดได้
"ลูก" คนธรรมดาที่ไม่ควรแบกรับภาระทางใจจากพ่อแม่ของเขา
.
(ส่วนหนึ่งจากคำนิยมหนังสือ “โลกทั้งใบบนไหล่ลูกสาว”)
.
*******************************
.
“พ่อแม่” = เราในฐานะพ่อแม่ที่(อาจจะ)ทำผิดพลาดกับลูกไปแล้ว
ในวันที่เราเติบโตไปมีครอบครัวเป็นของตัวเอง แม้จะพยายามมากแค่ไหนที่จะไม่เป็นเหมือนกับพ่อแม่ของตน ก็กลับเผลอนำสิ่งที่พ่อแม่กระทำกับเราในอดีตมากระทำกับลูกของตัวเองในปัจจุบันเช่นกัน แม้ว่าจะรู้ตัวว่า ได้ทำผิดต่อลูกของตนไปแล้ว แต่เราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตได้ เราต้องทำอย่างไรดี
.
วิธีที่พ่อแม่สามารถทำเพื่อลูกได้ คือ...
.
(1) ’ลองถอยห่างจากกันบ้าง’ เมื่อเราทะเลาะหรือถกเถียงกับลูกทุกวัน อาจจะเป็นการดีกับเราทั้งสองฝ่าย ที่จะเอาตัวออกห่างกันบ้าง เพื่อให้ใจเราสื่อถึงกันง่ายขึ้น
.
(2) ’ลองลดทิฐิ (Ego) ลงดูบ้าง’ เพราะบ่อยครั้งที่เราอาจจะเป็นฝ่ายผิด แต่เราไม่ยอมแพ้ลูก เรากดดันเขาด้วยการนำคำว่า ‘นี่พ่อแม่แกนะ’ มาใช้กับลูก เพื่อให้เขายอมรับว่า ‘เป็นฝ่ายผิด’ เพราะถึงแม้เราจะเป็นฝ่ายชนะ นั่นไม่หมายความว่า ‘ลูกเราจะเข้าใจเรามากขึ้น’ ถ้าเราผิด เราควรยอมรับผิด เป็นฝ่ายพูด “ขอโทษ” ลูกก่อนบ้าง สายสัมพันธ์ระหว่างเรากับลูกอาจจะแน่นแฟ้นมากขึ้นเสียด้วยซ้ำ
.
(3) ’ลูกไม่มีทางรู้ว่า พ่อแม่เลี้ยงดูเขามายากลำบากแค่ไหน’ นั่นก็ถูกต้องแล้ว เพราะลูกเพิ่งเกิดมา เขาจะไปจดจำได้อย่างไรว่า พ่อแม่เลี้ยงดูเขาอย่างไร อย่าว่า แต่ลูกเลย พ่อแม่อย่างเราก็จำไม่ได้หรอกว่า สมัยเราเพิ่งเกิดมา พ่อแม่เราลำบากแค่ไหน ดังนั้น อย่าใช้ประโยค “นี่ฉันเลี้ยงดูแกมาลำบากแค่ไหน แกรู้ไหม” มาทำร้ายลูก อย่าคิดว่า ตัวเองเป็นพ่อแม่แล้วผ่านความยากลำบากมา แล้วจะมีความชอบธรรมที่จะสร้างรอยแผลให้กับลูก
.
(4) ’อย่ายัดเยียดความเจ็บปวดของเราให้ลูก’ เราอาจจะเคยโดนพ่อแม่ของเรากระทำต่อเรามาก่อน เมื่อเรามีลูก และลูกกระทำแบบเดียวกับเราในสมัยเราเป็นเด็ก เราจึงถือโอกาสลงโทษเขา เฉกเช่นเดียวกับที่พ่อแม่ของเราทำกับเรา เมื่อลูกโอดครวญ เรากลับตอกกลับไปว่า “นี่ยังน้อยไปนะ สมัยฉันเป็นเด็ก ฉันโดนมากกว่าแกหลายเท่า” ลูกจะไปรู้ความเจ็บปวดของเราสมัยเด็กได้อย่างไร แต่เราในวันนี้ที่เคยเป็นทั้งลูกและพ่อแม่ เราผ่านมันมา และเรารับรู้ แต่เรากลับเลือกที่จะปฏิบัติในแบบที่เราไม่ต้องการในวัยเยาว์กับลูกของเรา แล้วเมื่อไหร่วงจรเช่นนี้จะสิ้นสุดเสียที
.
(5) ’อย่ายัดเยียดความฝันของตนเองครั้งเยาว์วัยให้ลูกของตน’ พ่อแม่บางคนอยากได้รับอิสระเมื่อสมัยเด็ก จึงบังคับให้ลูกของตนออกไปใช้ชีวิตอย่างอิสระ ฟังดูแล้วมันย้อนแย้งมาก คำว่า ‘บังคับ’ ไม่น่าจะไปด้วยกันได้กับคำว่า ‘อิสระ’ เลยแม้แต่น้อย สำหรับลูกแล้ว นี่คงเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาอยากได้ยินจากปากของพ่อแม่ เพราะพวกเขาไม่ควรเกิดมาเพื่อทำตามความฝันหรือใช้ชีวิตแทนใคร นอกจากเพื่อตัวเขาเอง
.
*******************************
.
“ลูก” = เราในฐานะลูกท่ีเติบโตมาขึ้นเป็นผู้ใหญ่ในวันนี้
สิ่งที่ลูกควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับพ่อแม่ของเรา คือ...
.
(1) ’พ่อแม่เกิดคนละยุคกับเรา’ บางครั้งมันยากที่จะทำความเข้าใจลูกของตัวเองในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว บางอย่างที่พ่อแม่เคยทำกับตนเองมาในอดีต กลับไม่ถูกต้องและไม่เหมาะสมกับการนำมาใช้กับลูกในปัจจุบัน พ่อแม่เราจึงเต็มไปด้วยความกังวล และความสับสน พวกเขากลัวว่า พวกเขาจะทำผิดพลาดกับลูกของตน
.
(2) ’พ่อแม่ไม่ได้รู้ทุกเรื่อง’ จึงทำให้พวกเขาไม่ได้ทำถูกไปเสียทุกเรื่อง พวกเขาทำผิด ทำพลาด และเผลอทำร้ายจิตใจลูกอย่างเราอยู่บ่อยๆ โดยที่บางครั้งพวกเขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไปว่าพวกเขากำลังทำให้เราเสียใจ และเจ็บปวด
.
ดังนั้น การเป็นลูกจึงไม่ได้หมายความว่า เราควรต้องอดทนมันเสียทุกเรื่อง เราไม่ควรเก็บความรู้สึกเสียใจหรือความเจ็บปวดเอาไว้เมื่อพ่อแม่ทำร้ายความรู้สึกเรา เพราะการทำเช่นนั้นเหมือนการที่เราสะสมสิ่งไม่ดีในใจไปเรื่อยๆ เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ ‘ใจ’ ของเรารับไม่ไหวอีกต่อไป สิ่งเหล่านั้นก็ระเบิดออกมา ผลลัพธ์ที่อาจจะเกิดขึ้น คือ ‘การแตกหัก’ ระหว่างเรากับพ่อแม่นั่นเอง หรือ ที่แย่ไปกว่านั้น คือ ‘การโทษตัวเองอย่างรุนแรง’ ที่นำไปสู่ปัญหาทางสุขภาพจิตที่ยากเกินกว่าจะแก้ไข
.
บางครั้งการพูดออกไปอย่างตรงไปตรงมา อาจจะทำให้พ่อแม่รู้ว่า เรารู้สึกอย่างไรอยู่ และตัวเราเองอาจจะรู้สึกดีขึ้น แต่การบอกออกไปต้องไม่เกิดขึ้นด้วยการใช้อารมณ์ทางลบ เช่น ใช้การประชดประชัด การพูดเสียงดัง เพราะนั่นจะไม่นำไปสู่ความเข้าใจ หากแต่จะนำไปสู่การทะเลาะ การต่อล้อต่อเถียงกันไม่จบไม่สิ้น สิ่งที่เราควรทำ คือ ‘การบอกความต้องการและความรู้สึกของเราให้ชัดเจน’
.
*******************************
.
สุดท้ายนี้ ไม่มีลูกคนไหนควรแบกโลกทั้งใบไว้บนไหล่ และไม่มีพ่อแม่คนไหนควรต้องมารู้สึกผิดจากการทำผิดกับลูกซ้ำรอยเดิมที่ตนโดนกระทำมา พ่อแม่ทุกคนคงอยากเป็นภาพความทรงจำที่ดีในวัยเด็กของลูก ไม่ใช่ภาพที่สร้างบาดแผลให้กับชีวิตของเขา ดังนั้น “อย่าทำร้ายกันอีกเลย”
.
เมื่อถึงเวลาอันสมควร พ่อแม่ทุกคนควรบอกลาและปลดปล่อยลูกให้เป็นอิสระทั้งกายใจ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ ‘ควรทำ’ ไม่ใช่สิ่งที่ ‘ต้องทำ’ โดยสิ่งที่ดีที่สุดที่พ่อแม่จะทำเพื่อลูกทุกคนได้ คือ การพึ่งพาตนเองเป็นที่ตั้ง เคารพพื้นที่ของลูก และอวยพรให้เขาเติบโตออกไปใช้ชีวิตเพื่อตัวเขาเองอย่างแท้จริง
.
การเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่นั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่ยิ่งใหญ่ เพราะเรากำลังสร้างคนๆ หนึ่งไปดูแลชีวิตอีกชีวิตหนึ่งหรืออีกหลายๆ ชีวิตต่อไป สังคมจะดีหรือเป็นไปในทิศทางใด วิธีการปฏิบัติของพ่อแม่ต่อลูก และลูกต่อพ่อแม่ คือ ‘คำตอบ’ ของสังคมนั้น
.
ด้วยรักจากใจ
เม
เพจตามใจนักจิตวิทยา
อ้างอิงจาก: ตามใจนักวิทยาศาสตร์