12 ความประทับใจที่ทำให้ Interstellar เป็นหนังอวกาศที่อยู่เหนือกาลเวลา
.
.
ผ่านมาแล้ว6ปี แต่นี่คือหนึ่งในผลงานหนังไซไฟที่ยอดเยี่ยมที่สุดของทศวรรษอย่างไม่ต้องสงสัย ถือเป็นงานหนังไซไฟของคนรุ่นใหม่ที่ต้องยกขึ้นหิ้งจดจำกล่าวขานไปอีกยาวนาน เป็นผลงานชิ้นเอกของผู้กำกับ คริสโตเฟอร์ โนแลนอีกเรื่องที่สมควรดูในโรงภาพยนตร์อย่างที่สุด โดยเฉพาะในโรงIMAX PARAGON ที่ฉายด้วยฟิล์ม70 MM และโชคดีมากว่า มันกลับมาฉายในโรงอีกครั้งจนถึงวันนี้วันสุดท้าย เลยอยากนำบทความมาย้อนรอยความประทับใจเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้กันหน่อย
.
12 ความประทับใจที่ทำให้Interstellarเป็นหนังที่อยู่เหนือกาลเวลา [สปอยส์]
1.โลกนี้กำลังหมดอายุ
หนังได้มีการเปิดเรื่องให้เห็นถึงสภาวะเสื่อมถอยของโลกมนุษย์ที่ได้เบียดเบียนธรรมชาติมาอย่างยาวนาน จนทำให้ทรัพยากรร่อยหรอ พืชพรรณเริ่มตายและโลกกำลังจะขาดออกซิเจน เห็นได้จากภาวะที่มีแต่ฝุ่นละอองเต็มไปทั่วทั้งเมือง นี่คือสัญญาณเริ่มต้นที่บอกกับเรากลายๆว่า "ถึงเวลาหาบ้านใหม่แล้วนะ"
เพราะในสมัยก่อนเราอาจแหงนหน้าไปมองท้องฟ้าว่าเราอยู่ที่ไหนในหมู่ดาว คราวนี้ถึงเวลาที่เราต้องห่วงตัวเอง มองลงมายังกองดินว่าสภาพเราตอนนี้กำลังจะเป็นเช่นใด?
2. นักสำรวจในร่างของชาวไร่
มีครอบครัวนึง เป็นเจ้าของไร่ข้าวโพดใหญ่โต เขาคือนักวิทยาศาสตร์ที่เคยนักบินทำงานในนาซ่า แต่กลับไม่มีโอกาสได้ใช้วิชาของตัวเองทั้งๆที่ตัวก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย อาจเพราะอุบัติเหตุฝังใจจากเหตุเครื่องบินตก แต่เขาได้รอดชีวิตมา
แต่แล้ววันนึงก็เขาและลูกสาวก็ได้ไปพบกับนาซ่าโดยบังเอิญด้วยพิกัดที่พวกเขาถอดรหัสมาได้จากปริศนาในห้องสมุดซึ่งลูกสาวก็ทึกทักเอาว่ามีผีมาบอกปริศนา นาซ่าขอร้องให้คูปเปอร์เป็นผู้ขับยานออกไปสำรวจอวกาศ ซึ่งมีดร.แบรนด์เป็นตัวตั้งตัวตี นี่อาจจะเป็นโอกาสที่เขาจะได้ช่วยเหลือคนอีกเป็นพันล้านครอบครัว และได้ทำสิ่งที่รักที่เขามีความสามารถไปในเวลาเดียวกัน กระนั้นมันก็มีสิ่งที่เขาต้องแลกไป นั่นคือครอบครัวของเขาเอง
3. คำสัญญาก่อนก้าวไปข้างหน้า และทิ้งบางสิ่งไว้ข้างหลัง
- I'm Coming back
เมิร์ฟ ลูกสาวคนเล็กของเขารู้สึกโกรธที่พ่อจะทิ้งตนไป เธอพยายามห้ามพ่อแต่ก็ไม่สามารถที่จะหยุดความตั้งใจของคูปเปอร์ได้ จึงได้ให้สัญญากับลูกสาวพร้อมให้นาฬิกาเป็นของขวัญเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า ในวันนึงเวลาของทั้งสองอาจเท่ากัน พ่อลูกอาจมีอายุเท่ากันก็ได้ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพของเวลา ในฉากที่พ่อจำต้องลาเมิร์ฟและครอบครัวออกมา ระหว่างที่เขาขับรถออกมาช่างน่าเจ็บปวดเหลือเกินกับการที่ต้องฝืนใจตัวเอง ยอมเจ็บปวดหัวใจในวันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีกว่าในวันข้างหน้าของโลกและครอบครัวของเขาเองด้วย ซึ่งเหตุผลนี้อาจมากเกินกว่าที่ลูกของเขาจะเข้าใจในช่วงเวลานั้น เขาได้แต่บอกลูกเพียงว่า "พ่อแม่ได้เกิดมาเป็นความทรงจำของลูก ในอนาคตพ่อก็คือผีนั่นเอง"
4. (เพราะมนุษย์)เราหาทางได้ เราหาได้เสมอ
ในวันที่โลกเริ่มถึงจุดวิกฤติ จึงต้องมีขบวนการสำรวจโลกใหม่ มีประโยคนึงที่ชอบมากๆคือประโยคที่มาจากพระเอกที่คุยกับดร.แบรนด์คนพ่อ ซึ่งเริ่มคุยจากประเด็นวิกฤติบนโลกที่ไร้ซึ่งทางออก แต่คูปเปอร์ได้พูดประโยคที่น่าสนใจไว้ว่า "เราหาทางได้ เราหาได้เสมอ" มันเป็นคำที่สะท้อนถึงหัวใจของความเป็นนักสำรวจในตัวเขาขนานแท้ เพราะนักสำรวจนั้นล้วนแต่มุ่งเสาะแสวงหาสิ่งใหม่ๆเพื่อหาทางแก้ หาทางออก และสัญชาติญาณของมนุษย์ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ เราก็มักจะมีหนทางในการเอาตัวรอดเสมอไม่ทางใดก็ทางนึง และในยุคนี้ ด้วยวิวัฒนาการที่มีมากขึ้น ก็ถึงเวลาที่เราจะไปตายเอาดาบหน้าบนห้วงอวกาศที่เราไม่รู้จักเลยสักครั้ง
5. ฉันมาไกลแล้ว แต่ยังไกลไม่พอ
เมื่อได้ผ่านด่านห้วงอวกาศ รวมถึงพบเจอกับการเดินทางทะลุรูหนอนอย่างยากลำบากแล้ว ภารกิจของพวกเขาคือต้องสำรวจดาวดวงใหม่ ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ก็ทำให้บางคนเริ่มมีปากเสียงกัน บางครั้งพวกเขาก็คิดว่าเราอาจผ่านเส้นทางอะไรมามากมาย แต่จริงๆแล้วแทบจะยังไม่ได้เริ่มต้นภารกิจเสียด้วยซ้ำ แล้วยังต้องมาเจอกับความผิดพลาดที่จะสร้างบทเรียนครั้งใหญ่ให้จดจำอีก ดังนั้นต่อให้เดินทางมาไกล แต่ถ้าหากยังไม่ถึงจุดหมายมันก็ยังไม่ถือว่าสำเร็จ แม้จะเริ่มเข้าใกล้ แต่ถ้ามันยังไม่ถึงเส้นชัยก็แปลว่ายังไม่ถึงอยู่ดี ดังนั้นต้องไปให้ไกลกว่า..
6. ชีวิตจริง ไม่เก๋แบบในทฤษฎี
เมื่อออกภารกิจบนดาวมิลเลอร์ ปัญหาอุปสรรคนั้นก็ถาโถมเข้ามา และเราก็ไม่สามารถลืมได้เลยว่าชีวิตเรามีเทคเดียว ถ้าพลาดก็แปลว่าจบเห่ได้เลย การตัดสินใจที่ช่วงเวลาที่จำกัดเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่สำคัญคือต่อให้ทฤษฎีเราแม่นแค่ไหน ในสนามจริง ถ้าเราไม่รู้จักกระบวนการรับมือให้ถูกวิธี เราก็อาจดับได้ ซึ่งนั่นทำให้ดร.แบรนด์คนลูกหรือนางเอกของเรื่องได้บทเรียนที่ดีเลยทีเดียว
7. "เวลา"ที่ไม่เท่ากัน
สิ่งหนึ่งที่เราไม่อาจเลี่ยงได้จากการเดินทางสำรวจครั้งนี้ คือ"เวลา"ในแต่ละพื้นที่นั้นล้วนมีไม่เท่ากัน บางที่เวลาเดินช้ากว่าโลกยาวนาน บางที่เร็วกว่า สถานะของเรา ตัวตนของเรา และคนรอบข้างเราสามารถแปรเปลี่ยนไปได้เป็นสิบๆปีทั้งที่เวลาเราเพิ่งจะเดินหน้าไปไม่กี่ชั่วโมง นั่นจึงเป็นเหตุขัดแย้งที่ตัวละครต่างขัดแย้งในภารกิจกัน เนื่องมาจากคนนึงกำลังห่วงคนที่อยู่ในเบื้องหลัง ส่วนอีกคนกำลังห่วงกับสิ่งที่อยู่ตรงข้างหน้า ซึ่งทั้งสองอย่างมีเวลามาคั่นกลางและเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดภารกิจนี้ เพราะเวลานั้น มีค่าและจำกัดเหลือเกิน ทุกวินาทีล้วนมีความหมายต่อมนุษยชาติ ถ้าเราทุกคนสามารถคิดได้แบบนี้ เราอาจจะพบว่าเวลาที่ผ่านไป อาจไม่ได้เสียเปล่าก็เป็นได้ ถ้าว่านั่นมาจากแรงพยายามที่เรากำลังทำอะไรสักอย่างอยู่ เพื่อที่จะทำให้มันสำเร็จในสักวันหนึ่ง
8. แผนลวงโลกและมวยอวกาศ
ขณะที่ทีมสำรวจกำลังสำรวจอยู่บนดาวอันไกลโพ้น แต่แล้วความจริงก็หลุดออกจากปากดร.แบรนด์คนพ่อ ที่ว่าสิ่งที่เขาทำทุกอย่างที่จะทำให้นักสำรวจเหล่านั้นกลับมาช่วยโลกนั้นเป็นเรื่องโกหก แผนเอที่ตั้งใจไว้ว่าจะทำให้สำเร็จกลายเป็นปฏิบัติหน้าม่านซะงั้น ซึ่งปฏิบัติการจริงของเขาคือแผนบี ที่จะนำดีเอ็นเอทางพันธุกรรมไปแพร่พันธุ์ให้เกิดสิ่งมีชีวิตในดาวเคราะห์ดวงอื่นนั่นเอง
ทำให้เกิดความช๊อคโลกขึ้นอันเนื่องมาจากดร.แบรนด์ต้องใช้เวลาปกปิดแผนการณ์ที่แท้จริงมาทั้งชีวิต ยอมให้ตัวเองโดนด่า แต่ใจของแกมีอุดมการณ์ที่จะมองอนาคตเพื่อมนุษยชาติ แต่เมิร์ฟในวัยสาวไม่ได้คิดเช่นนั้นเสียแล้ว เพราะเวลาในชีวิตของเมิร์ฟเองมันตรงกับช่วงอายุที่พ่อเธอได้จากไปแล้ว คำสัญญานั้นอาจเป็นเพียงความหวังลมๆแล้งๆงั้นหรือ?
ขณะเดียวกันทีมนักสำรวจก็ได้ไปพบกับดร.แมน นักวิทยาศาสตร์ผู้เก่งกาจที่เคยถูกส่งออกมาสำรวจดาวมาก่อน และกำลังส่งสัญญาณต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งพบว่าสุดท้ายมันเป็นแค่กลหลอกลวงที่เขาต้องการจะมาควบคุมอำนาจที่จะทะเยอทะยานไปต่อยอดเป้าหมายของเขาเสียเอง จึงเกิดมวยอวกาศขึ้นซึ่งฉากนี้ทำได้ดีมากๆ แสดงให้เห็นถึงว่ามนุษย์อยู่ที่ไหน สันดานในตัวมนุษย์ กิเลสต่างๆ ก็ยังตามไปได้อยู่ดี สุดท้ายก็เป็นการเอาชนะกัน ซึ่งท้ายที่สุด ธรรมชาติก็จะคัดเลือกผู้ที่แข็งแกร่งกว่า ไม่ว่าจะเป็นในด้านร่างกายหรือสติปัญญา ใครมีสูงกว่าผู้นั้นก็มักจะเป็นฝ่ายที่รอด
9. สละชีพทะลวง"หลุมดำ"
ทุกการเดินทางต้องมีผู้เสียสละเสมอ การเดินทางในครั้งนี้ก็เช่นกัน เพราะด้วยเชื้อเพลิงที่มีจำกัด มันเลยต้องบีบบังคับให้บางคนไม่อาจได้ไปต่อ เป้าหมายของนางเอกคือไปยังดาวเอ็ดมันท์ที่ซึ่งมีแฟนเธอได้ไปสำรวจ แต่สำหรับพระเอกแล้วสิ่งสำคัญที่สุดของเขาคือการได้กลับไปหาลูกเท่านั้น
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ยากที่สุดที่เขาจะตัดสินใจ "ปล่อย" ได้ เพราะเขาต้องยอมรับว่าเชื้อเพลิงมีไม่มากพอที่จะกลับโลกแล้ว การที่เขาจะปล่อยให้เพื่อนร่วมทางของเขามีโอกาสได้เดินทางไปข้างหน้าเพื่อพบเจอกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้มันก็ยังดี เพราะอย่างน้อยมันก็ไม่ทำให้ความหวังตายไปจากหัวใจแบบที่เขาต้องพบเจอ
และในเมื่อไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว การเดินทางเข้าสู่หลุมดำจึงเป็นเหมือนกับการตัดซึ่งกิเลสทั้งปวง เสมือนกับเรากำลังเข้าสู่ปลายทาง จุดจบ หรือ "นิพพาน" บรรลุในสัจธรรมแห่งชีวิต นี่คือสถานที่ที่เหมือนกับได้ตายแล้วเกิดใหม่บนกลไกที่ซับซ้อนของกาลเวลา มันคือจุดจบที่นำพาไปยังจุดเริ่มต้น เหลือเพียงแค่รอให้ตัวเอกอย่างคูปเปอร์มาเป็นตัวเชื่อมทุกอย่างเข้าด้วยกันอีกครั้ง
10. สิ่งลี้ลับในมิติที่ห้า
บนพื้นฐานความเข้าใจของคนเรา ยังมีมิติมากมายที่เรายังไม่เคยมองเห็น หรือมันยังอยู่ไกลกว่าที่เราจะเข้าใจ แต่เมื่อถึงเวลาเราอาจรับรู้ได้ บางคนอาจมองว่านี่คือผีหรือไม่ แต่ในมุมวิทยาศาสตร์นั้น สิ่งลี้ลับเหล่านี้อาจเป็นเสมือนผู้สร้างผู้บงการชีวิตเราอีกที เหมือนเป็นพระเจ้าที่คอยนำทางให้เรามาแก้ไขปัญหาให้ผ่านพ้นไป ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร รู้แต่ว่ามันคือผู้ที่นำทางเรา และทำให้เราได้พบเจอกับตัวเราในอนาคตที่เป็นเสมือนผี และไปนำทางตัวเราเองในอดีตอีกทีหนึ่ง เสมือนว่าโชคชะตาฟ้าลิขิตนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างมันถูกกำหนดเอาไว้แล้ว อยู่ที่ว่ามันจะเดินไปตามครรลองของมันเมื่อไหร่ และเราจะเข้าใจมันเวลาไหนเท่านั้นเอง
และจุดนี้คือจุดที่ตัวเอกได้กำลังทำหน้าที่เป็น "ผู้สร้าง" อนาคต ผู้ชี้โชคชะตา จากการนำทางของ "ผู้สร้าง" ที่มาจากมิติที่ห้าอีกทีหนึ่ง ดังนั้นการที่เราเป็นผู้สร้างตัวเราในวันนี้ อาจเป็นเพราะมีอะไรบางอย่างที่เราไม่เข้าใจนำทางเราอยู่ก็เป็นได้ กลไกของชีวิตนั้นซับซ้อนยิ่งนัก ทั้งรูหนอนอวกาศที่มาอยู่ปรากฏให้เห็นโดยบังเอิญ การเอาชนะแรงโน้มถ่วง การเผชิญหน้ากับความจริงในหลุมดำ และที่สำคัญคือการถอดรหัสมอร์สและส่งผ่านกลับไปยังโลกนี่คือสิ่งที่เหนือความเข้าใจ แต่เป็นส่วนหนึ่งของวิทยาศาสตร์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ไม่แพ้ไสยศาสตร์เลยทีเดียว
11. ความรักคือกุญแจที่อยู่เหนือสรรพสิ่งและกาลเวลา
- I love you 'FOREVER'
สิ่งเดียวที่เป็นจุดเชื่อมโยงให้ตัวเอกมีแรงผลักดัน มี Passionมาถึงในจุดนี้ได้ เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เป็นเหมือนลูกกุญแจที่สามารถสะเดาะกลอนประตูของเวลาได้ลง นั่นคือ "ความรัก" ที่มาจากคำสัญญา
คำพูดที่ว่า I'm coming back. นั้น มาจากความตั้งใจอันแน่วแน่ที่จะทำ และต่อให้จะออกไปผจญอวกาศสุดขอบจักรวาลจนข้ามผ่านมิติและหลุมดำ คำตอบเดียวที่พระเอกต้องการการจะไปยังจุดหมายนั้นคือ กลับไปหา"ความรัก" เพียงเท่านั้นเอง และ "ความรัก" มันจึงเป็นเสมือนพันธนาการที่อยู่เพียงใกล้เอื้อมเหมือนชั้นหนังสือในห้องสมุดที่เต็มไปด้วยความรู้
แต่เมื่อมีความรัก มีความหวัง ก็ทำให้เกิดจินตนาการ นี่ล่ะมั้งคือที่มาของคำว่า จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ เพราะถ้าเราจินตนาการได้ สิ่งที่ไม่มีอยู่ในหนังสือ ยังไม่ได้เป็นความรู้ ก็อาจสามารถเป็นไปและเกิดขึ้นมาจริงๆได้ อาทิปรากฏการณ์ถอดรหัสมอร์ส ซึ่งนางเอกเป็นผู้ทำสำเร็จ และสามารถทำให้โลกเปลี่ยนแปลง เอาชนะแรงโน้มถ่วงได้
แต่ท้ายที่สุดเธอก็รู้อยู่แก่ใจว่านั่นคือการบอกใบ้กระซิบจากพ่อ บุคคลที่เธอรอพบมาตลอดชีวิต และจินตนาการนอกจากจะทำให้เกิดความรู้แล้ว มันยังทำให้เกิดสิ่งที่น่าทึ่งถึงที่สุดได้อีกด้วย เพราะมันสามารถเนรมิตดลกใหม่ที่อัศจรรย์เกินกว่าจะคาดเดา และทำให้คนจากสองช่วงเวลาที่ไม่เท่ากัน กลับมาโคจรพบกันได้อีกครั้งก่อนจะหมดลมหายใจ
และจินตนาการที่งดงามที่สุดมันก็เกิดขึ้นมาจากความรัก ที่ต้องเสาะแสวงหาเส้นทางในขอบเขตของจักรวาลให้คนทั้งสองได้นำความรักมามอบให้แก่กันอีกครั้ง และความรักของพวกเขาก็ได้เปลี่ยนโลกทั้งใบ และทำให้เกิดวิวัฒนาการใหม่ของมนุษยชาติ
นี่คือความยิ่งใหญ่ของความรักของพ่อลูกที่ถูกแสดงออกมาผ่านการกระทำด้วยน้ำพักน้ำแรงตลอดทั้งชีวิต ทั้งเมิร์ฟและคูปเปอร์ ผ่านการเฝ้ามองและอยู่ร่วมกับคนรอบข้างที่เฝ้าสังเกตุการณ์เติบโตของเราไปในเวลาเดียวกัน เป็นหนังพ่อลูกที่เล่าเรื่องความรักได้ทะเยอทะยานที่สุดแล้วจริงๆ นี่คือเหตุผลที่ว่าความรักคือกุญแจของสรรพสิ่ง และยิ่งใหญ่จริงๆ เพราะวงกตอวกาศแห่งนี้ ต่อให้ไปไกลแตะขอบจักรวาล ก็ยังไม่อาจทรงพลังมีอานุภาพเท่ากับความรักในใจมนุษย์เราได้เลย นี่คือความหมายของคำพูดที่คูปเปอร์เคยบอกไว้นั่นเอง
"I love you forever."
12. การหลุดพ้นจากโลกใบเก่าของนักสำรวจ
ทั้งสองเพียงได้พบเจอกันแม้เพียงแค่ครั้งเดียว นั่นก็ได้ถือว่าการเดินทางที่ยาวนานมาทั้งชีวิตของคนทั้งสองได้บรรลุจุดประสงค์แล้ว ที่สามารถสร้างโลกใบใหม่ให้พวกเขาได้มาเจอกันในที่ใดที่หนึ่งบนจักรวาล
หลังจากนี้โลกใบเก่าของเมิร์ฟผู้ซึ่งชราภาพก็ถึงคราวที่จะดับลงพร้อมๆกับการที่ได้สัมผัสความรักของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผีไปแล้วในเวลานี้ ส่วนคูปเปอร์แม้ว่าเวลาในการสำรวจยังคงทำให้เขาหนุ่มแน่น แต่ในรอบชั่วอายุคนแล้ว การที่เขาได้เห็นความเปลี่ยนแปลงตลอด122ปีและยังมีสังขารไปต่อ เขาจึงต้องหาทางหลุดพ้นตัวเองไปสู่ประตูใหม่อีกครั้ง วันนี้เขาไม่จำเป็นต้องแหงนหน้าลงมาดูเราในกองดินแล้ว แต่บนฟากฟ้าอันไกลโพ้น ที่ซึ่งเขายังไม่เคยไป ที่ซึ่งเพื่อนร่วมทางของเขาอาจกำลังโดดเดี่ยวอยู่ที่ดาวเอ็ดมันท์ที่ไกลลับตา ชีวิตของเขาในวันข้างหน้าไม่รู้จะเป็นอย่างไร แต่เขาก็ตัดสินใจทะยานออกไปหามัน ก้าวข้ามComfort Zoneของตัวเองอีกครั้ง เพื่อที่จะไปหาโลกใบใหม่ที่ดีกว่าเดิม
คราวนี้เขาไม่ต้องทำเพื่อหาโลกใหม่ให้คนทั้งโลกแล้ว แต่ถึงเวลาที่เขาต้องหาโลกใหม่ให้เหมาะกับ"นักสำรวจ"อย่างเขาให้ได้พักผ่อนอย่างสงบเสียที และนี่อาจเป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายที่จะพาเขาไปสู่ห้วงนิพพานอย่างแท้จริง.
Do not go gentle into that goodnight.
Old age should burn and rage. Rage,rage against the dying of the light.
"ยุคเก่าเผาไหม้เป็นธุลีเมื่อถึงเวลา สู้สุดแรงแข่งกับแสงสุดท้ายของดวงตะวัน เพื่อให้เราได้พบกับยุคใหม่ในรุ่งอรุณที่สวยงาม"
.
.
สุดท้าย ฝากอีกรีวิวนึง เป็นหนังฮ่องกง
Still Human (10/10 A++++++)
"เปี่ยมด้วยหัวใจและความรู้สึกโคตรดีงาม สมคำร่ำลือ
เป็นหนังที่คุณภาพโหดหินอีกเรื่องของปีนี้"
.
.