ฟิล์ม รัฐภูมิ เปิดตัวลูกชาย แจงประเด็นโดนกล่าวหาเป็นคนอกตัญญู เฮียฮ้อ!!
ฟิล์ม รัฐภูมิ"เปิดตัวลูกชาย แจงประเด็นโดนกล่าวหาเป็นคนอกตัญญู เฮียฮ้อ!!
ล่าสุดก็มีเรื่องดราม่า เรื่องหมดสัญญากับค่ายเดิม แล้วไม่โพสต์ขอบคุณ แล้วก็เลยกลายเป็นคนอกตัญญู ?
ฟิล์ม : มันน่าจะมีคนที่หวังดี เขาก็มาพูดกันในโซเชียลว่าทำไมผมไม่โพสต์ขอบคุณเลย ผมอยากจะบอกว่าจริง ๆ ผมก็มีเหตุผลของผม ที่ผมไม่ได้โพสต์เนี่ย ถ้าคำว่าขอบคุณสำหรับเฮียฮ้อ หรือว่าผู้บริหารอาร์เอส หรือว่าอาร์เอสเนี่ย คือชาตินี้ผมคงขอบคุณไม่หมด เพราะว่าเขามีพระคุณต่อผมมาก ผมเลยมองว่าทำไมเราต้องป่าวประกาศว่าเราหมดสัญญาแล้ว เพราะว่าในใจของผม ผมก็ยังอยู่อาร์เอสตลอด ตั้งแต่วันแรกที่ผมมีตัวตน จนถึงวันนี้ แล้วก็ผมมีชีวิตที่ดีขึ้น พ่อแม่มีความสุขขึ้น ก็เพราะเฮียฮ้อทั้งนั้น เราไม่คิดเลยว่ามันเป็นเพียงกระดาษหนึ่งใบที่มันหมดสัญญา แต่ตัวเองก็ยังอยู่เหมือนเดิม
ทางเฮียฮ้อเขาทราบไหมว่ามันเกิดประเด็นดราม่าขึ้น ได้คุยกับเฮียฮ้อไหม ?
ฟิล์ม : จริง ๆ ผมคุยกันตลอด แต่ผมเชื่อว่าเฮียน่าจะยุ่ง คงมองว่าผมน่าจะเอาอยู่อยู่แล้ว มันเป็นเรื่องธรรมดามาก คงจะเป็นแค่คนพูดกัน คือเขาคงหวังดีกับเราแหละ ลงบอกหน่อย แต่ผมอยากจะบอกกับทุกท่านว่าสิ่งที่ผมพูดไปเมื่อสักครู่ว่ามันไม่จำเป็นหรอกครับ ทำไมผมต้องประกาศว่าผมอิสระแล้ว ทั้งที่มันเป็นเพียงแค่หน้าที่การงานของผม แต่จริง ๆ แล้วความรู้สึกกับผู้บริหาร เฮียฮ้อ ผมก็ยังรักและเคารพเหมือนคุณพ่อผมตลอดมา
มีคำที่เรารู้สึกว่ามันแรงไปมีไหม ?
ฟิล์ม : มันก็มีบ้าง แต่เราก็ห้ามความคิดใครไม่ได้ มันกลายเป็นแบบอย่างไปแล้วว่าศิลปินเวลาออกจากค่ายเขาก็จะโพสต์กัน แต่เรากลับไม่ได้โพสต์ เพราะว่าผมก็มีเหตุผลของผม
แล้วอยู่ค่ายเดิมมากี่ปี ?
ฟิล์ม : 15 ปีเต็ม มันมีแต่ความสุข แล้วได้รับโอกาสจากเด็กธรรมดาคนหนึ่งกลายเป็นคนที่มีคนรู้จักทั่วประเทศ มันทำให้เรารู้สึกว่าโอกาสนี้ไม่รู้ว่าเราจะหาคำขอบคุณหรือไปทดแทนบุญคุณนั้นยังไง คือผมก็มีแต่ความสุขแล้วได้รับโอกาสที่ดีตลอดมา ผมอยู่กับอาร์เอสผมไม่ได้ทำอะไรเลย คือจะมีผู้ใหญ่มอบโอกาสให้ผมเสมอ พิธีกร ตั้งแต่เด็ก ๆ เดินตามกองถ่ายสัมภาษณ์คนอื่น เป็นนักร้อง เป็นดาราละคร ภาพยนตร์ แล้วก็หลาย ๆ อย่างที่ผมไม่เคยทำก็ได้รับจากที่นี่
เราอยากจะบอกอะไรกับคนที่พูดถึงเราในแง่ไม่ดีบ้างไหม ?
ฟิล์ม : อยากจะขอบคุณมากกว่า เขาก็คงรักเราแหละ เขาอยากให้เราดูน่ารักตลอด ผมก็เป็นตัวของผม ผมก็จะรู้ว่าผมควรจะทำอะไร แล้วก็อยากให้เคารพความคิดของผมบ้าง
บางคอมเมนต์บอกว่า ว่างงาน 3 ปี ไม่ได้ทำอะไรเลย อันนี้ก็เลยเป็นหนึ่งเหตุผลที่พี่ฟิล์มออก ?
ฟิล์ม : จริง ๆ แล้วไม่เกี่ยว อย่างที่ผมบอกกระดาษมันก็หมดไปตามสัญญาของมัน แต่ความรู้สึกผมไม่ได้หมดไปจากเฮียเลย ผมก็ยังรักแล้วเคารพเหมือนเดิม ผมมองว่าวันนี้ในมุมมองของธุรกิจ ของโมเดลต้นสังกัดเก่า เรามีธุรกิจที่เปลี่ยนไป แต่ตัวผมเอง ผมอยากทำงานในสิ่งที่ผมรักอยู่ อยากร้องเพลง อยากเล่นหนัง เล่นละคร ในเมื่อโมเดลธุรกิจเปลี่ยนไป แต่ตัวเราเองนั้นโตขึ้น แล้วก็มีการตัดสินใจได้มากกว่าเดิม เราก็ควรออกมาทำอะไรที่เรารักมากขึ้น ผมเชื่อว่าเฮียฮ้อก็คงภูมิใจกับผม เพราะสิ่งที่ผมทำทุกวันนี้ไม่เคยทำอะไรนอกลู่นอกทาง หรือว่าทำอะไรให้เขาไม่ภูมิใจ ผมมองว่าผมยังร้องเพลงได้ ผมยังเต้นได้ แล้วต้นสังกัดเราจะไม่มีอะไรพวกนี้แล้วผมก็ออกมาทำที่อื่นได้
เรามาย้อนประเด็นดราม่า ฟิล์มจำได้ไหมว่าประเด็นอะไร ?
ฟิล์ม : ถ้าใหญ่สุดในชีวิต ที่อยู่กับมันมา 3 ปี ก็เรื่องที่คุณผู้ชมรู้กัน ผมถึงขั้นต้องไปบวช แต่ผมเชื่อว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของผมเหมือนกันนะ ตรงที่ว่าผมก็ไม่คิดเหมือนกันว่าชีวิตผมจะมีเวลาว่างถึงขั้นได้ไปบวชทดแทนพระคุณแม่ ถึงขั้นได้ไปเรียนต่อเมืองนอก มันทำให้ผมมีเวลาให้ตัวเองมากขึ้น ทำให้ผมได้เปิดโลกใบใหม่ ๆ ที่ไม่ใช่เห็นแต่รั้วของประเทศไทย
แต่กว่าจะถึงขั้นที่เราทำใจไปบวช ไปเรียนเมืองนอก แล้วก่อนหน้านั้นเรารับมือยังไง ?
ฟิล์ม : ต้องบอกว่าพื้นฐานทางด้านความคิดและครอบครัวอบอุ่นและแข็งแรงแบบสุด ๆ มันก็เลยทำให้ผมผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ ถ้าเกิดผมไม่แข็งแรง มันอาจจะเป็นโรคซึมเศร้าไปเลยก็ได้ เพราะมันเจอทุกวัน แล้วก็มีทุกวัน หนึ่งเลยคือความถูกต้องที่เราทำ เราทำบนพื้นฐานความถูกต้องไหม เราไม่ได้ทำผิดต่อใคร โอเค ถ้างั้นเราก็ผ่านมันมาได้ เดี๋ยวเวลามันจะเป็นเครื่องพิสูจน์ตัวเราเอง แต่ผมก็มองว่าเดี๋ยวความถูกต้องมันจะกลับมาเอง เราก็ดำเนินชีวิตเราต่อไป
ตอนนั้นเสียศูนย์ไหม ?
ฟิล์ม : มันมีบ้างครับ ทำไมไม่มีใครเข้าใจ แต่ผมโชคดีตรงที่เราเป็นสื่อ เวลาที่เราเป็นสื่อคนก็อยากจะฟังทั้งสองด้าน ฟังด้านนั้นแล้วก็มาฟังด้านเรา พอเขามาฟังด้านเรา เราก็พยายามคิด วิเคราะห์ คำนวณในสิ่งที่เราอยากจะพูด คือผมเป็นสไตล์ที่ว่าไม่พูดพาดพิงถึงใคร จะพูดแต่ในมุมของเรา
รับมือได้ไง 3 ปี ?
ฟิล์ม : ผมมองเป็นเรื่องชินไปแล้ว ตื่นมาผมต้องฟังข่าวตัวเองในทุก ๆ วัน แล้วดูว่ากระแสเป็นยังไงบ้าง มันก็เป็นเรื่องชินมากกว่า อยู่กับมันได้ เราก็มองเห็นเลยว่า หนึ่งเลยคุณพ่อคุณแม่ก็เข้าใจ เฮียฮ้อก็เข้าใจ แฟน ๆ ก็เข้าใจ แล้วผมผ่านมาได้ก็เพราะคนเหล่านั้น
เรื่องของฟิล์มยังไม่จบ ยังมีการบุกจับแบงก์ชาติอีก ?
ฟิล์ม : ผมทำธุรกิจตั้งแต่ปี 2554 ผมเป็นกลุ่มคนที่นำเข้าคิวอาร์โค้ด Payment Gateway, E-Commerce เข้ามาในประเทศไทยในยุคแรก ๆ ทำธุรกรรมด้านการเงินผ่านมือถือ เสร็จแล้วก็ขยายเติบโต โดยการที่เราศึกษาข้อกฎหมายครบถ้วน มันใหม่มาก แล้วก็ไม่มีใครทำ แล้วอยู่ ๆ ก็มีการตั้งข้อสอบถาม สงสัยว่าเป็นธุรกิจเถื่อนหรือเปล่า ผิดกฎหมายหรือเปล่า จนมันเป็นประเด็นขึ้นมา แล้วก็ถูกตรวจสอบ ผิดก็ว่าผิด ผมก็แก้ไขปรับปรุง ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่หนักที่สุดในชีวิต
ฟิล์มเคยคิดสั้นไหม ?
ฟิล์ม : ต้องบอกว่าไม่เคยคิดเลย มันดาวน์มีไหม มี บางทีเราหลงระเริงไป เพราะมันสุขมาก ดังใหม่ ๆ มันสุขมาก ถ้าเราไปยึดติดปุ๊บเราจบเลย พอเจอทุกข์ปุ๊บแกะไม่หลุด เขาคิดว่าจิตไปยึดติดแล้ว แต่คิดว่ากลาง ๆ มันเป็นเรื่องธรรมดา พบเจอสุข ทุกข์ เป็นเรื่องธรรมดา ผมก็ผ่านมา
เคยคิดจะออกจากวงการบันเทิงเลยไหม ?
ฟิล์ม : ไม่เคยเลย เพราะผมมองว่าฟิล์มแฟมิลี่ หรือที่ผมเรียกว่าแฟน ๆ เขารอผมอยู่ในทุก ๆ วัน เรามีบุคคลเหล่านี้อยู่ก็เพียงพอแล้ว
ตอนนี้ลูกกี่ขวบแล้ว ?
ฟิล์ม : 6 ขวบแล้วครับ
นิสัยเป็นยังไงบ้าง ?
ฟิล์ม : ก็เหมือนผมนะ เพราะผมเลี้ยงมา อารมณ์ดี ขี้เล่น ตลก แล้วก็ชอบแกล้ง
ปู่ ย่า เห็นว่าหลงหลาน ?
ฟิล์ม : หลงมาก ถ้าผมไม่ว่างคุณพ่อผมท่านก็จะไปรับแล้วคอยดูแลตลอด แต่เขาจะทะเลาะกับพ่อผมตลอดเวลา เด็กพอเริ่มโตก็เริ่มพูดเยอะ เริ่มเถียง เริ่มมีอะไรสงสัย แต่ผมก็เห็นว่ามันคือสีสัน ทำให้บ้านผมมีชีวิตชีวาขึ้นมา
เห็นว่าดื้อ ?
ฟิล์ม : ดื้อมาก เพราะว่าอย่างที่ผมบอกมันคือสีสัน เขาจะประดิษฐ์อะไรตลอดเวลา ถาม บ้านพัง ก็คือวัยเขา