คนไทเลย
คนเมืองเลยเรียกตนเองว่า “ไทเลย” เรียกคนจังหวัดอื่นในอีสานด้วยกันเองว่า “ไทใต้” แต่เรียกคนกรุงเทพฯ ว่า “ไทกรุงเทพ” คำว่า "ไทเลย" ก็ใช่ว่าจะใช้เรียกคนเมืองเลยทุกคนเสมอไป แต่ก่อนยังมีการแบ่งกันเองอีก ชาวบ้านป่าในดงดอนป่าเขาอย่างแถบอำเภอด่านซ้าย นาแห้ว ภูเรือ มักจะถูกคนในเมืองเรียกว่า “ไทด่าน” มีนัยถึงความล้าสมัย ไม่เจริญเทียบเท่าคนในเมือง
แต่เมื่อถนนหนทางติดต่อเชื่อมโยงกันได้สะดวกแล้ว ความเจริญเข้าถึงในหลาย ๆ พื้นที่ คำนี้จึงหมดความหมายในเชิงการแบ่งแยก กลายเป็นคำที่คนในจังหวัดเลยใช้หยอกล้อกันเล่น คนเมืองเลยถ้าจะกล่าวไปแล้ว ทั้งผู้ชาย และผู้หญิง ผิวขาว ละม้ายคล้ายกับคนทางเหนือ โดยเฉพาะหญิงในวัยชรานั้น นิยมไว้ผมยาวเกล้ามวยไว้ด้านหลัง เก็บไรผม หวีเรียบ บุคลิกสมถะเรียบง่าย รักสงบ อยู่ในศีลสัตย์ เอ่ยเอื้อนพูดจาด้วยถ้อยสำเนียงที่เป็นเอกลักษณ์ ที่เรียกว่า “ภาษาไทเลย”
ซึ่งชวนให้รู้สึกเย็นใจ เมื่อได้ร่วมโอภาปราศรัย กล่าวกันว่า คนเมืองเลยย้ายออกไปทำงานนอกถิ่นฐานค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับคนอีสานจังหวัดอื่น หลายคนให้เหตุผลตรงกันว่า เพราะผืนแผ่นดินเมืองเลยมีความอุดมสมบูรณ์ แม้ว่าจะเป็นป่าเขาถึงค่อนเมือง ที่ราบมีน้อย แต่ก็ให้ผลผลิตอย่างคุ้มค่า ประชาชนจึงหาอยู่หากินเฮ็ดไร่เฮ็ดนาได้ผลดี จนกล้ายืนยันได้ว่า ไม่มีขอทานในเมืองเลย “สำเนียงและภาษาพูด” คนเมืองเลย เป็นใครมาจากไหน?
มีประวัติศาสตร์และความเป็นมาอย่างไรบ้าง? คงตอบเจาะจงแน่ชัดลงไปไม่ได้เสียทีเดียว เพราะไม่มีหลักฐานอะไรที่ชี้ชัดแน่นอน แต่อาจารย์สาร สาระทัศนานันท์ นักประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองเลยซึ่งเป็นคนพื้นเมืองด่านซ้าย ให้ความเห็นว่า “มีสำเนียงพูดคล้ายประชาชนในเขตอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ และคล้ายประชากรในแขวงไชยบุรี และหลวงพระบาง สปป.ลาว มีสำเนียงพูดพยางค์ออกเสียงสูงคล้ายชาวปักษ์ใต้ เสียงพูดไพเราะนุ่มนวล จึงไม่เหมือนของชาวจังหวัดใดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือภาคอีสานด้วยกัน” ที่ว่าสำเนียงพูดของชาวไทเลยนั้น เหมือนกับคนหลวงพระบางก็เช่น ท้ายประโยคมักเป็นเสียงสูง บางคนก็ว่าคล้ายกับภาษาปักษ์ใต้ หรืออย่างบางประโยคก็ต่างไปจากอีสาน เช่น คำทักทาย ไปไหน
ถ้าเป็นชาวอีสานทั่วไปจะพูดว่า “ไปไส” แต่คนเมืองเลยจะพูดว่า “ไปหยัง” หรือ “ไปได๋ล่ะ” นอกจากนี้ คุณจิระนันท์ พิตรปรีชา ผู้สนใจศึกษาประวัติศาสตร์ลาว ก็ให้ความเห็นเรื่องสำเนียงพูดในทำนองเดียวกันว่า “หากฟังสำเนียงพูดคนในเมืองเลยแล้ว คิดว่า เป็นเชื้อสายเดียวกับทางหลวงพระบางเลยทีเดียว” การสันนิษฐานของผู้รู้ดังกล่าว ทำให้พอจะเชื่อได้ว่า คนเมืองเลยน่าจะมีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงกับอาณาจักรล้านช้างหลวงพระบาง ในขณะที่จังหวัดอื่นในภาคอีสานด้วยกัน ได้รับอิทธิพลโดยตรงจากเมืองเวียงจันทน์ ไม่เพียงแต่สำเนียงเหมือนหลวงพระบางเท่านั้น
ร่องรอยที่ยังพอมีให้เห็นเป็นประจักษ์พยานอยู่บ้าง เช่น ประเพณีแห่ผีตาโขน อำเภอด่านซ้าย ก็มีรูปแบบที่จำอย่างมาจากประเพณีปู่เยอย่าเยอ จากเมืองแก่นท้าว แขวงไชยบุรี ใกล้เมืองหลวงพระบาง นอกจากนี้ยังมีรสนิยมในด้านอาหารการกินบางอย่าง ละม้ายคล้ายคลึงกับคนหลวงพระบาง เช่น คนเมืองเลยแท้ไม่ค่อยชอบกินปลาร้า หรือถ้าจะกิน ก็ต้องทำให้สุกเสียก่อน เป็นต้น สำเนียงพูดในบางอำเภอ ยังต่างกันไปอีก เช่น คนแถบอำเภอด่านซ้าย อำเภอนาแห้ว จะมีสำเนียงและบางประโยค คล้ายกับคนอำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ หรือที่เรียกว่า ภาษาไทหล่ม มักมีคำว่า “เด๋” เติมท้ายประโยคเสมอ เช่น “บ่แม่น” เป็น “บ่แม่นเด๋” เป็นต้น
มีผู้สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นสำเนียงเดิมของคนเลย เพราะลักษณะภูมิประเทศของอำเภอดังกล่าว เป็นเขตป่ารกทึบ เสมือนตัดขาดจากโลกภายนอก จึงไม่น่ามีอิทธิพลของสำเนียงภาษาอื่นเข้าไปปะปนมากนัก คนอำเภอเชียงคาน เป็นที่ยอมรับของคนเมืองเลยด้วยกันเองว่า มีสำเนียงนุ่มนวล พูดช้า คล้ายภาษาเหนือ ฟังแล้วไพเราะอ่อนหวาน ส่วนอำเภอนาด้วง อำเภอภูกระดึง อำเภอผาขาว อำเภอภูหลวง พูดภาษาอีสานกันเป็นส่วนมาก เพราะเป็นกลุ่มคนจากแถวจังหวัดอุดรธานี หรือขอนแก่น เข้ามาตั้งรกรากใหม่ ส่วนคนวังสะพุง มีสำเนียงที่เป็นเอกลักษณ์ชัดเจน ฟังแล้วรู้ว่าเป็นคนวังสะพุง เพราะพูดเร็วและห้วนกว่าที่อื่น
คนเลยเรียกว่า ภาษาวังสะพุง หากดูตามแผนที่ จะเห็นศูนย์กลางอาณาจักรล้านช้างหลวงพระบาง ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงทางเหนือ น้ำโขงไหลล่องใต้สู่อำเภอเชียงคาน อันเป็นเสมือนประตูเปิดรับคนเข้าสู่พื้นที่เมืองเลยได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ในสมัยรัชกาลที่ 4 มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า ในจังหวัดเลยมีชุมชนหนาแน่นทั้งหมด 3 ชุมชน ซึ่งต่อมาได้พัฒนาขึ้นเป็นอำเภอต่าง ๆ คือ อำเภอกุดป่อง (ปัจจุบันคืออำเภอเมือง) อำเภอท่าลี่ และอำเภอนากอก (เสียให้แก่ฝรั่งเศสไปเมื่อ พ.ศ. 2446 ปัจจุบัน เป็นส่วนหนึ่งของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว)
อำเภอต่าง ๆ เหล่านี้ขึ้นอยู่กับมณฑลอุดร ผู้คนจึงติดต่อสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ส่วนเมืองด่านซ้าย แต่เดิมนั้นขึ้นอยู่กับมณฑลพิษณุโลก เมืองเชียงคานขึ้นอยู่กับเมืองพิชัย เมืองวังสะพุงขึ้นอยู่กับเมืองหล่มสัก ต่อมาเมื่อมีการประกาศปรับเปลี่ยนการปกครองของกระทรวงมหาดไทย ในปี พ.ศ. 2450 อำเภอต่าง ๆ เหล่านี้ จึงโอนมาขึ้นกับเมืองเลยทั้งหมด และเมืองเลยก็ขึ้นตรงกับมณฑลอุดรอีกชั้นหนึ่ง เมืองเลย ตั้งอยู่ริมฝั่งลำน้ำหมาน กับลำน้ำเลย เป็นชุมชนเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยได้ติดต่อกับคนภายนอกมากนัก เพราะเป็นเมืองปิดมีทิวเขาโอบล้อมเดินทางเข้าออกยากลำบาก จึงไม่ค่อยมีคนย้ายเข้า และคนในเมืองเองก็ไม่ค่อยย้ายออกไป
กลุ่มคนที่เข้ามาในเมืองเลยและทำให้เมืองเลยเป็นที่รู้จักในวงกว้างออกไปมากยิ่งขึ้น คือพระอริยะสงฆ์ที่เข้ามาแสวงหาความวิเวกเพื่อบำเพ็ญวิปัสนากรรมฐาน อาทิ หลวงปู่มั่น หลวงปู่ชอบ หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ตื้อ ซึ่งล้วนแต่เป็นพระเกจิอาจารย์สายวิปัสนาที่รู้จักนับถือกันทั่วไป แม้ทุกวันนี้ก็ยังมีสำนักสงฆ์และวัดป่าสำหรับประกอบกิจกรรมดังกล่าวเป็นจำนวนมาก พระเกจิอาจารย์เหล่านี้มีอิทธิพลช่วยกล่อมเกลาหมู่ชาวบ้านที่เชื่อเรื่องผีค่อนข้างมาก ให้หันเข้าหาหลักการทางพระพุทธศาสนามากขึ้น
ดังปรากฎในปัจจุบันว่า คนเมืองเลยโดยรวมนั้นได้ชื่อว่าเป็นคนยึดมั่นในศีลธรรมอย่างเคร่งครัดจนเป็นที่ทราบกันดีว่า ถ้าหน่วยงานราชการหรือผู้มาติดต่อต้องการพบปะชาวบ้าน ต้องไปในวันพระ เพราะเป็นวันหยุดทำงาน ไม่ออกไปไร่ไปนา และนี่ก็คือเรื่องราวคร่าว ๆ ของคนไทเลย และจังหวัดเลย เมืองที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนานและมีวัฒนธรรมประเพณีอันเป็นเอกลักษณ์อีกหลายอย่างที่รอให้อนุชนคนรุ่นหลังได้ค้นคว้า สืบทอดเรื่องราวต่อไป