“สิมอีสาน” ในยุคก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕
วัฒนธรรมงานช่างประเภทศาสนาคาร สิม หรือที่เรียกกันตามสมัยนิยมยุคปัจจุบันว่าโบสถ์ หรือพระอุโบสถ ตามคำเรียกในวัฒนธรรมงานช่างภาคกลาง หากในรากศัพท์สำเนียงไท-อีสานโบราณนิยมเรียกกันอย่างสามัญว่าสิม ซึ่งสันนิษฐานกันว่ากร่อนมาจากคำว่า สีมา โดยสิมหรือโบสถ์ถือเป็นศิลปะสถาปัตยกรรมที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของวัดในอีสาน แม้จะไม่มีระเบียบแบบแผนการวางผังที่ชัดเจนมากนัก
สิมอีสานในยุคก่อน พ.ศ. ๒๔๗๕ นโยบายของรัฐช่วงนี้จนถึงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองภาพรวมมีลักษณะมุ่งเน้นการควบคุมส่วนภูมิภาคมากกว่าการให้บริการ ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งที่รัฐใช้เพื่อผนึกภูมิภาคนี้ให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในกรอบของพื้นที่การเมืองรัฐไทย โดยภาพรวมพื้นที่การเมืองในภาคอีสานมีอิทธิพลศิลปะสถาปัตยกรรมแบบอย่างวัฒนธรรมลาวล้านช้างเป็นวัฒนธรรมกระแสหลัก โดยสิมอีสานล้วนมีรูปแบบลักษณะแบบอย่างศิลปะลาวล้านช้างในรูปแบบสายสกุลช่างพื้นบ้าน ซึ่งมีเหตุปัจจัยมาจากความมีพื้นฐานทางประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม และการเมืองร่วมกัน โดยเฉพาะมิติทางด้านเชื้อชาติ ดั่งตัวอย่างร่องรอยศิลปะสถาปัตยกรรมสกุลช่างหลวงล้านช้าง
ดั่งที่ปรากฏหลักฐานอยู่ตามหัวเมืองสำคัญต่างๆ เช่น กลุ่มการเมืองสายพระวอพระตาแห่งเมืองเวียงจันทน์ ที่แยกตัวและสถาปนาเป็นกลุ่มอำนาจทางการเมืองใหม่ในพื้นที่อีสาน ดั่งที่ปรากฏหลักฐานการสร้างวิหารวัดหลวง ซึ่งเป็นวัดแรกในการตั้งเมืองอุบลราชธานี (สร้างราว พ.ศ. ๒๓๓๗ และเมื่อชำรุดทรุดโทรมจึงได้รื้อทิ้งใน พ.ศ. ๒๔๙๒) หรือจะเป็นที่จังหวัดร้อยเอ็ด ดั่งปรากฏหลักฐานที่รูปแบบสิมของวัดกลางมิ่งเมือง แห่งเมืองร้อยเอ็ด และในแหล่งพื้นที่การเมืองสำคัญอื่นๆ เช่น สิมวัดพระเหลาเทพนิมิต สิมวัดมหาธาตุ วัดศรีคุณเมือง เมืองเลย วิหารวัดมโนภิรมย์ เมืองมุกดาหาร ทั้งหมดล้วนมีอิทธิพลศิลปะแบบอย่างสายสกุลช่างหลวงล้านช้างทั้งทางตรงและทางอ้อม
สิม หรือวิหารในอีสาน ในมิติแห่งห้วงกรอบของเวลาแต่ละยุคสมัย โดยได้แบ่งพัฒนาการตามปัจจัยเงื่อนไขทางสังคมออกเป็น ๓ ช่วงสำคัญ คือ
๑. ช่วงตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๕-๒๕๐๐ (ยุคประชาธิปไตยและความเป็นไทย)
๒. ช่วงตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๐–๓๔ (ยุคสงครามเย็น)
และ ๓. ช่วงตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๔-ปัจจุบัน (ยุคอีสานพัฒนาและความเสมอภาค)