ตอบข้อสงสัยเป็นนิ่วในถุงน้ำดีอันตรายไหม?
นิ่วที่อยู่ในถุงน้ำดี เกิดจากการตกผลึกของหินปูน (แคลเซียม) คอเลสเตอรอลและบิลิรูบิน (สารเคมีชนิดหนึ่งที่ให้สีเหลืองออกน้ำตาล เกิดจากการแตกตัวหรือการตายของเซลล์เม็ดเลือดแดงในหลอดเลือด) ที่มีอยู่ในน้ำดี ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดการตกผลึกของสารเหล่านี้เชื่อว่าเกิดจากการติดเชื้อของทางเดินน้ำดี และความไม่สมดุลของส่วนประกอบคอเลสเตอรอลและบิลิรูบินในน้ำดี การตกผลึกของสารเหล่านี้อาจทำให้เกิดเป็นก้อนนิ่วเพียงก้อนเดียว หรือก้อนเล็ก ๆ หลาย ๆ ก้อนก็ได้ นิ่วในถุงน้ำดีมักพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 1-2 เท่า ผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลสูง ผู้หญิงที่มีบุตรแล้ว ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน ธาลัสซีเมีย โลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตกมีโอกาสเป็นนิ่วในถุงน้ำดีมากกว่าคนทั่วไป
เป็นนิ่วในถุงน้ำดีอันตรายไหม?
หากผู้ที่ยังไม่ป่วยด้วยโรคนิ่วในถุงน้ำดี หรือป่วยแล้วแต่อาการยังไม่มาก สามารถดูแลตนเองเพื่อป้องกันอาการลุกลามได้ ดังนี้
- ผู้ป่วยโรคนิ่วในถุงน้ำดี ควรงดการทานอาหารที่มีไขมันสูง
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายเผาผลาญไขมันที่สะสมในร่างกายได้ดีขึ้น
- งดดื่มเหล้า สูบบุหรี่
- ไม่ควรลดน้ำหนักด้วยวิธีการที่ทำให้น้ำหนักลดลงรวดเร็ว เนื่องจากตับจะต้องขับไขมันออกมาในปริมาณมาก และเมื่อขับน้ำดีออกมาย่อยสลายไขมันไม่ทัน ไขมันที่คั่งค้างจะส่งผลให้เกิดนิ่วได้
เป็นนิ่วในถุงน้ำดีรักษาอย่างไร?
สำหรับคนที่มีร่างกายแข็งแรง หรืออายุยังน้อย รวมถึงอาการของโรคไม่รบกวนการใช้ชีวิตมาก ก็ไม่จำเป็นต้องรับการผ่าตัดครับ เพราะโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนนั้นมีต่ำ ประมาณร้อยละ 1 – 3 ต่อปีเท่านั้น จึงแนะนำให้คอยตรวจและติดตามอาการอย่างสม่ำเสมอก็เพียงพอ ยกเว้นในกรณีที่มีอาการแสดงชัดเจน ได้แก่ อาการปวดจุก แน่นท้อง ท้องอืด อาหารไม่ย่อย รวมถึงอาการปวดท้องต่อเนื่องนานหลายชั่วโมงหลังกินอาหาร แสดงว่านิ่วในถุงน้ำดีเริ่มก่อกวนร่างกาย หากปล่อยไว้นานจนเกิดอาการถุงน้ำดีอักเสบจะทำให้มีไข้ขึ้น และปวดมากยิ่งขึ้น อาการลักษณะนี้จึงแนะนำให้ผ่าตัดครับ