ดับเจ้าพ่อภาคตะวันออก◾ตอนที่ 1◾
เฮียเก๊า พัทยา
เมืองชลบุรีย้อนกลับไปเมื่อเกือบ ๓๐ ปีที่แล้ว
เสี่ยกิม ก้าวเดินอาดๆ เข้าไปในบาร์ย่านพัทยาใต้ สถานเริงรมย์อันมีระดับสำหรับผู้กว้างขวางอย่างเสี่ยกิมในยุคนั้น เสี่ยกิมไปไหนมาไหนมักมี เก๊า เด็กหนุ่มวัย ๒๐ ต้นๆ เดินเป็นเงาตามตัว
เสี่ยกิมฉุดเก๊าออกจากชีวิตช่างพันไดนาโมใน
อู่ซ่อมรถเพราะกิตติศัพท์ความใจถึงของเด็กหนุ่มจากบ้านบึงคนนี้ กลายมาเป็นคนติดตามเสี่ยกิม
ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในคนสนิทของ เสี่ยจิว จุมพล สุขภารังษี เจ้าพ่อเมืองชลในสมัยนั้น
เก๊า ก้าวตามลูกพี่เข้าไปในบาร์แห่งนั้นอย่าง
คุ้นเคย กลิ่นเหล้า ควันบุหรี่ และสาวๆ ที่เดินขวักไขว่ไปมายังมีให้สัมผัสเป็นปกติ แต่ที่ไม่ปกติก็คืน หลังจากที่เสี่ยกิมพร้อมลูกน้องคนสนิทหย่อนก้นลงนั่งได้ไม่นานเหล้าเพิ่งพ่านคอไปได้พอร้อนผ่าวๆ บรรยากาศก็เริ่มไม่สนุกสนาน จ่าเข้ ตำรวจเมืองพัทยาคู่รักคู่แค้นของเสี่ยกิมปรากฏตัวขึ้นที่ข้างโต๊ะ ด้วยมาดของตำรวจร้ายพร้อมคำพูดข่มขู่เกริ่นนำก่อนจะลงท้ายด้วยการขอเงินใช้
แทนที่เสี่ยกิมจะยื่นแบงก์เป็นปึกตามที่จ่าเข้ร้องขอ มือของเสี่ยกิมกลับคว้าเอาแก้วเหล้าแล้วเหวี่ยงกระแทกเข้าเต็มปากของจ่าเข้ จนผงะหงายเลือดแดงกบปาก จ่าเข้ซึ่งไม่คิดว่าวันนี้เสี่ยกิมจะมามาดใหม่ถึงกับตั้งตัวไม่ติด ถอยกรูดกลับไปนั่งเลียเลือดอยู่ที่โต๊ะพร้อมแววตาแค้นอาฆาตสุดขีด ฝ่ายเสี่ยกิมนั่งกินได้ไม่นานก็สั่งเก๊าให้เรียกเด็ก
เช็กบิลลุกกลับเพราะบรรยากาศบูดเสียแล้ว
เสี่ยกิมเดินดุ่มไปยังประตูทางออกโดยมีเก๊าเดินตามไปติดๆ แล้วเสี่ยกิมก็ต้องชะงักเท้าเมื่อพบว่าจ่าเข้ยืนจังก้าขวางหน้าอยู้พร้อมปืนในมือที่เตรียมอยู่แล้ว เสียงปืนในมือจ่าเข้แผดก้องขึ้นพร้อมร่างของเสี่ยกิมที่ทรุดฮวบลงกองกับพื้นตามด้วยเสียงแผดร้องอย่างตกใจของผู้คนในบาร์แห่งนั้น เพียงอึดใจเสียงปืนดังขึ้นอีกชุด คราวนี้จ่าเข้เป็นฝ่ายล้มลงบ้าง ด้วยฤทธิ์กระสุนจาก เก๊า ที่ยืนดวลกับตำรวจโหดอย่างไม่สะทกสะท้าน
จ่าเข้ดับดิ้นสิ้นลมไปตามเสี่ยกิม ส่วนเก๊ายืนถือปืนรอมอบตัวกับตำรวจ ฉากการดวลดับตำรวจอย่างห้าวหาญของเก๊า ร่ำลือไปทั่วยุทธจักร ทำเอา
ผู้กว้างขวางของวงการที่กำลังมาแรงอย่าง กำนันเป๊าะ ถามถึงอย่างสมใจ แล้วกำนันเป๊าะก็ปรากฏตัวขึ้นที่โรงพักบางละมุง เพื่อยื่นประกัน เก๊า เอาตัวออกจากห้องขังพร้อมทั้งจัดการช่วยเหลือเรื่องคดีให้ ในที่สุดพยานนับสิบปากในที่เกิดเหตุต่างก็ให้การเป็นเสียงเดียวกันว่า จ่าเข้กับเสี่ยกิมดวลกันเองจนดับไปทั้งคู่ ส่วนเก๊าแค่ยืนดูเฉยๆ
ญาติพี่น้องของจ่าเข้ก็ไม่ติดใจเอาความหลังจากที่ได้รับ ข้อเสนอที่ปฏิเสธไม่ได้ จากกำนันเป๊าะ คดีจึงจบลงพร้อมอิสรภาพของเก๊า และนับตั้งแต่นั้นมา กำนันเป๊าะก็ได้ เก๊า มาประดับบารมี
จากเก๊า แช่คู ผู้มาจากครอบครัวยากจนในบ้านบึง เมื่อเติบโตขึ้นมาอายุอานามได้ราว ๑๘ ปี ก็ตัดสินใจเข้าพัทยาเผชิญโชคด้วยตัวเอง โดยไปทำงานเป็นช่างพันไดนาโมในอู่รถ และด้วยบุคลิกไม่ยอมใคร มีเรื่องฟาดปากกับเด็กหนุ่มๆ ในพัทยาเป็นประจำในที่สุด #เสี่ยกิม ก็เห็นแววของเด็กหนุ่มคนนี้จึงดึงเข้าสู่ยุทธจักรเป็นมือปืนประจำตัวเสี่ยกิม และจากวันดวลดับจ่าเข้ผู้บังอาจเด็ดชีพลูกพี่เป็นต้นมา ไอ้เก๊าก็ก้าวสู่ความเป็นเฮียเก๊า ภายใต้สังกัดใหม่กำนันเป๊าะ
กำนันเป๊าะออกทุนก้อนหนึ่งให้เก๊าเปิดร้านจำหน่ายเหล้าต่างประเทศที่ริมถนนพัทยา-
นาเกลือ ชื่อร้าน นาเกลือมหานคร ซึ่งยังยืนยง
และขยับขยายมาตราบวาระสุดท้ายของเก๊า
ร้านนาเกลือมหานครส่งฐานะของเก๊าให้ร่ำรวยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ซึ่งร่ำลือกันว่าคงไม่ใช่รายได้จากสุราต่างประเทศประการเดียวแน่นอน ในขณะที่วงการหวยใต้ดินก็รู้จักมักคุ้นกับบรรดาคนใกล้ชิดของเก๊าเป็นอย่างดี เก๊าร่ำรวยเพิ่มพูนบารมีขึ้นมามากขึ้นๆ ภายใต้การสนับสนุนอย่างเต็มที่จากกำนันเป๊าะ ทั้งนี้เก๊ายังได้รับความไว้วางใจจากกำนันให้ดูแลกิจธุระต่างๆ ในย่านพัทยา บางละมุงอยู่เนืองๆ จนใครต่อใครก็ต้องพากันเกรงอกเกรงใจเฮียเก๊าเป็นยิ่งนัก ในฐานะเป็นคนที่กำนันเป๊าะไว้วางใจมากที่สุดคนหนึ่ง
ในที่สุด เก๊าไม่เพียงได้รับมอบหมายให้ดูแลกิจการด้านสุราต่างประเทศและในประเทศโดยคุมสัมปทานเหล้าในพื้นที่ย่านนั้นแทบทั้งหมด
รวมไปถึงกิจการที่ไม่เปิดเผยอีกจำนวนมากเท่านั้น หากแต่ยังได้รับความไว้วางใจจากกำนันในทางการเมือง ทั้งการเมืองท้องถิ่นและระดับชาติ ใครจะขึ้นเป็นนายกเมืองพัทยา เป็นสมาชิกเมืองพัทยา กำนันต้องถามเก๊า ส่วนในทางการเมืองระดับชาติ เก๊าทำหน้าที่ดูแลคะแนนเสียงเลือกตั้ง ส.ส.ในพื้นที่ชลบุรีเขต ๒ ให้กับกำนันอีกด้วย
คนเมืองชลมักกล่าวถึงกำนันและองค์การของเขาว่าคือ ซุ้มใหญ่ และเก๊าก็หมายถึงหัวหน้าซุ้มพัทยา บางละมุงนั่นเอง ขณะเดียวกันกำนันก็พยายามฟอกเก๊าให้หมดสิ้นภาพพจน์เก่าๆ เพื่อจะก้าวขึ้นมารับงานใหญ่แทนก๊อดในวันข้างหน้า การพนันอันเป็นของโปรดปรานสำหรับเก๊าก็ถูกกำนันสั่งห้ามเด็ดขาด อย่าได้ไปแตะให้เสียเงินเสียทองและเสียประวัติ เรื่องคดีความนับจากคดีจ่าเข้แล้ว ประวัติอาชญากรในแฟ้มตำรวจก็ไม่ปรากฏชื่อของเก๊าอีกเลย
ฐานะในทางสังคมในภายหลัง เก๊ายังมีตำแหน่งเป็นประธานชมรมรวงข้าว อันเป็นชมรมของเศรษฐีเมืองพัทยา ประธาน อป.พร. และมีตำแหน่งเป็นคนดีศรีเมืองชลอีกด้วย เก๊าวางแนวชีวิตราบเรียบ ระมัดระวังมิให้มีเรื่องเสื่อมเสียใดๆ เขาดูแลชีวิตครอบครัวอย่างดี ใช้ชีวิตอย่างสมถะ แต่ก็นั่นแหละ กิจการงานต่างๆ ที่หัวหน้าซุ้มพัทยาจะต้องคอยดูแลแทนซุ้มใหญ่นั้น ก็ทำให้เก๊าตกเป็นเป้าของคู่ขัดแย้งจำนวนไม่น้อย ทั้งในเรื่องผลประโยชน์ทางธุรกิจและการช่วงชิงความเป็นใหญ่ในพัทยา แม้แต่ฐานะชี้เป็นชี้ตายในการเมืองท้องถิ่นก็ทำเอาคนในสังกัดซุ้มใหญ่ด้วยกันเองขุ่นเคืองเก๊าอยู่ไม่น้อย
ระยะหลังเก๊าพยายามถอยตัวเองออกมาจากธุรกิจบางอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหวยเถื่อนที่
ร่ำลือกันมานาน เก๊าก็วางตัวแน่ชัดไม่ยุ่งเกี่ยวอย่างเด็ดขาด แต่ถึงกระนั้นก็คาดกันว่าคนใกล้ชิดของเก๊ายังพัวพันอยู่ เก๊าหันมาทุ่มเงินทำร้านนาเกลือมหานครของเขาใหม่ โดยลงทุนสร้างอาคารสำนักงาน ๔ ชั้นเพื่อเตรียมทำธุรกิจร้อยล้านพันล้านอย่างเป็นมาตรฐาน แต่เก๊ายังไม่ทันได้ทำพิธีเปิดอาคารธุรกิจแห่งใหม่ของเขา
เช้าตรู่วันที่ ๑๐ พ.ย. ขณะนั่งกินกาแฟในร้านนางเสริมร้านประจำที่เก๊านั่งกินกาแฟอ่านหนังสือพิมพ์และเปิดวงสนทนาการเมืองและเรื่องราวในเมืองชลกับมิตรสหายและสมุนบริวารมาเป็นประจำถึง ๘-๙ ปีมาแล้ว ที่ร้านแห่งนี้นี่เองที่เพชฌฆาตกำหนดเป็นจุดปลิดชีวิตของมือขวาคนสนิทก๊อดฟาเธอร์ เพียงแค่ลงนั่งสั่งกาแฟแล้วคว้าหนังสือพิมพ์มากางอ่าน ชีวิตของเก๊าปิดฉากลงแค่นั้นเองในเช้าวันนั้น ยังไม่ทันเจ็ดโมงเช้า ขณะที่ นายกำพล คุปตะวานิชเจริญ หรือที่คนทั้งเมืองพัทยารู้จักกันดีในนาม เฮียเก๊าพัทยา เดินผึ่งแดดอาบอุ่นยามเช้าออกจากรั้วคฤหาสน์ ๑๐๐ ล้าน เลขที่ ๒๔๗ หมู่ ๕ ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ในวันต้นฤดูหนาวที่หาความหนาวไม่ได้เอาเสียเลย
มันเป็นวันที่ ๑๐ พ.ย. บรรยากาศยามเช้าเงียบสงบเหมือนที่เคยเป็นมาทุกวัน เฮียเก๊า ตื่นแต่เช้าแล้วออกจ๊อกกิ้งไปตามสนามหญ้าภายในรั้วคฤหาสน์ของตนเอง วัย ๔๘ ปีกับการออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ ทำให้สุขภาพพลานามัยของเขายังคงกระชุ่มกระชวย หลังจากจ๊อกกิ้งพอได้เหงื่อชุ่มหลังไหล่ เฮียเก๊าก็เดินจากบ้านมายังปากซอยซึ่งระยะทางแค่ไม่กี่เมตร เพื่อดื่มกาแฟร้อนๆ และหาหนังสือพิมพ์อ่านข่าวสารบ้านเมือง
กิจวัตรยามเช้าของเฮียเก๊าเป็นที่รู้กันดีของเหล่าญาติมิตรและบริวาร เขาตื่นมาวิ่งออกกำลังแล้วมาจิบกาแฟที่ร้านนางเสริม เลขที่ ๓๖/๑๖ หมู่ ๕ ซอย ๙ ถนนพัทยา-นาเกลือ อ.บางละมุง ซึ่งตั้งอยู่ปากซอยทางเข้าคฤหาสน์เป็นเช่นนี้มานานหลายปีดีดัก เฮียเก๊าทักทายชายฉกรรจ์ซึ่งเป็นคนสนิทของเขา แล้วนั่งลงตรงโต๊ะหน้าร้าน ชีวิตดูออกจะเรียบง่ายเสียเหลือเกินสำหรับคนมีศักดิ์ศรีเป็นถึง เจ้าพ่อพัทยา
การจะไต่เต้าขึ้นมาเป็นเจ้าพ่อพัทยา จู่ๆ ใช่จะสถาปนาตัวเองชั่วข้ามคืนขึ้นมาได้ กว่าจะถึงวันนี้ เฮียเก๊าเคยผ่านวัยฉกรรจ์อันโชกโชนกลิ่นดินปืนและคาวเลือด ประวัติความใจถึงของเขาเป็นที่ต้องตาต้องใจ กำนันเป๊าะ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งภาคตะวันออก จนต้องชวนมาร่วมดำเนินธุรกิจและปกครองอาณาจักรชายฝั่งทะเลตะวันออกด้วยกัน
กำนันเป๊าะนั้นยิ่งใหญ่ตลอดแนวชายฝั่งตะวันออกเริ่มจากฉะเชิงเทราผ่านชลบุรี ระยอง จันทบุรี จนสุดชายแดนตราด แต่สำหรับเมืองอันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยผลประโยชน์อย่าง พัทยา นั้น เก๊าพัทยา โตวันโตคืนจนใหญ่คับเมืองที่เดียว จะมีคนที่ไม่ยอมลง ให้เขาอยู่บ้างก็เป็นนักเลงรุ่นเดียวกันที่เติบใหญ่ขึ้นมาพร้อมๆ กันในเมืองพัทยาอยู่สัก ๒-๓ คนเท่านั้น แต่เพื่อนเหล่านั้นก็เหมือนต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างหากิน ไม่มีใครอยากจะวอแวกับคนที่เป็นถึง มือขวา ของเจ้าพ่อตะวันออกอย่างเฮียเก๊าหรอก เพราะมันจะเท่ากับแส่หาเรื่องรนหาที่เสียเปล่าๆ แต่เฮียเก๊าอาจลืมภาษิตจีนประเภท “ชำระหนี้แค้น ๒๐ ปีไม่สาย” และนั่นทำให้เขาตกอยู่ในอันตรายโดยไม่มีสัญญานมรณะบอกเหตุใดๆ ทั้งสิ้น
นอกจากบริวารใกล้ชิดก็ยังมีศัตรูคู่อาฆาตที่เฝ้าจับตากิจวัตรยามเช้าของเฮียเก๊าด้วยสายตาวาววาม พวกมันกำหนดแล้วว่าร้านกาแฟนางเสริมนี่แหละที่จะใช้เป็น คิลลิ่งโซน หรือพื้นสังหารอันง่ายต่อการลงมือยิ่งนักเพราะมันเต็มไปด้วยทางหนีทีไล่ และสามารถกำหนดแผนสังหารได้ล่วงหน้า แทบไม่ต้องปรับเปลี่ยนอะไรกะทันหันทั้งสิ้น ของมันแน่อยู่แล้ว เฮียเก๊าต้องเดินจากคฤหาสน์มานั่งร้านกาแฟทุกวัน!!
เจ้าพ่อพัทยานั่งลงที่โต๊ะตัวหน้าร้าน คว้าหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าขึ้นมาอ่านในลักษณะหันสีข้างให้ถนนสายพัทยา-นาเกลือ เขาได้ยินเสียงมอเติร์ไซค์แล่นมาจอดหน้าร้านเหมือนกัน แต่ไม่เฉลียวใจสักนิดว่าทูตมรณะมาหาถึงข้างกายแล้ว มอเตอร์ไซค์คันนั้นเป็นแบบผู้หญิง แต่จะยี่ห้ออะไร รุ่นไหน แทบไม่มีใครสังเกต ชายฉกรรจ์ ๒ คนซ้อนท้ายกันขับแล่นปราดเข้ามาทั้งสองสวมหมวกกันน็อก สวมแจ็กเก็ตสีเขียวทับเสื้อยืดข้างใน กางเกงลายพรางแบบทหาร นี่เป็นฉากการล่าสังหารจริงๆ ไม่ใช่หนังไทย ประเภทที่ชักปืนมาขู่ “วันนี้ลื้อตายแน่อั๊วจะฆ่าลื้อให้สาสมกับที่ลื้อทำไว้” เพราะฉะนั้นช่วงเวลาความเป็นความตายของเฮียเก๊าจึงปุบปับทันทีทันใด เหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางวง
ชายคนซ้อยท้ายซึ่งรูปร่างสันทัดกระโดลงจากเบาะมายืนกับพื้น มันเลิกชายเสื้อแจ๊กเก็ตออกแลเห็นปากกระบอกปืนกลสั้นดำมะเมื่อม สะพายซ่อนอยู่ใต้รักแร้ มันบีบไกพ่นกระสุนใส่ร่างเฮีย
เก๊าอย่างเลือดเย็น ๓ ชุดซ้อน พรืด! พรือ! พรืด!
ในระยะใกล้แค่ ๒ เมตรไม่มีทางจะผิดพลาดได้เลย คมกระสุนที่ยิงออกไปทุกนัดเจาะร่างเจ้าพ่อพัทยาจนพลิกตกโต๊ะ เสียงแก้วชามโต๊ะเก้าอี้ล้มโครมคราม ท่ามกลางการตกตะลึงพรึงเพริดของคนทั่งร้านกาแฟ พริบตาต่อมาก็มีอาการเคลื่อนไหวเป็นปฏิกิริยาตอบโต้ มือปืนเฮียเก๊าบางคนตะปบมือไปที่เอวเตรียมชัก ๑๑ ม.ม. ออกมาด้วยสัญชาตญาณ แต่มือสังหารก็โชว์ความเป็นมืออาชีพที่เต็มไปด้วยทักษะการใช้อาวุธ และจิตใจที่ไม่หวั่นไหวต่ออันตราย มันไม่รอดูว่ากระสุนยังเหลือในแมกาซีนหรือเปล่า แต่รีบปลดแมกาซีนเก่าออกเปลี่ยนแมกาซีนใหม่ที่กระสุนยังอัดแน่นเป็นตับเข้าไปในตัวปืนเสียงดังกร้วม พร้อมกับส่ายปากกระบอกปืนกลสั้นไปทั่วร้านในลักษณะคุมเชิงพร้อมจะฆ่าศพต่อไปทันที สมุนของเฮียเก๊าก็ได้แต่จังงันไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อย
มือสังหารถอยไปโดดขึ้นมอเตอร์ไซค์ ปืนกลยังคงส่ายร่ามาอย่างข่มขวัญ ชายคนขับบิดเครื่องทะยานไปข้างหน้าแต่ด้วยความรีบร้อนหรือดวงไม่ดีก็เหลือจะเดา มอเตอร์ไซค์กลับเสียหลักพลิกคร่ำบนถนนนั่นเอง จากร้านกาแฟทุกคนมองเห็นปืนกลลักษณะคล้ายปืนกลอูซี่กลิ่งไถลไปกับพื้นถนน หมวกกันน็อกกระเด็นหลุน ทำให้เห็นต่อมาว่า มือสังหารยังสวมหมวกไหมพรมและแว่นตาดำปกปิดใบหน้าไว้อีกชั้น!?! ช่วงเวลาฉุกละหุกมันคว้าปืนกลสะพายไหล่ไว้ตามเดิม แล้วโดดซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ที่พวกเพิ่งตั้งหลักได้บึ่งหนีไปทางซอยไปรษณีย์ ถนนสุขุมวิท โดยทิ่งหมวกกันน็อกสีน้ำเงินติดสติ๊กเกอร์ “เจริญมอเตอร์” ไว้บนถนนนั่นเอง อุบัติโหดครั้งนี้ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น!!
เฮียเก๊ายังไม่สิ้นใจในทันที ร่างเจ้าพ่อพัทยานอนระทวยอยู่ใต้โต๊ะ เลือดสีแดงทะลักเป็นลิ่มจากบาดแผลที่ชายโครงซ้าย ๒ แผล หน้าท้อง ๒ แผล และต้นขาอีก ๒ แผล เฉือน “ห้องเครื่อง” ขาดกระจุย
ไม่กี่นาทีจากนั้น ร่างโชกเลือดของเฮียเก๊าก็ถึงมือแพทย์โรงพยาบาลอินเตอร์พัทยา ซึ่งระดมความรู้ความสามารถมากู้ชีวิตคนเจ็บอย่างสุดชีวิต แต่กระสุนแรงสูงล้วนเจาะทำลายอวัยวะสำคัญ ประกอบกับโลหิตทะลักไปจากร่างมากมาย สายวันนั้นชีวิตก็โบยบินจากไป เฮียเก๊าพัทยา ถูกดับเสียแล้ว! หน้าห้องไอซียู นายสมชาย คุณปลื้ม หรือ กำนันเป๊าะ ยืนรับฟังข่าวการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของเฮียเก๊าด้วยอาการซึมเซา เจ้าพ่อสะท้านใจเมื่อตระหนักว่า วันนี้เขาเสมือนถูกตัดมือทิ้ง แถบเป็น มือขวา ที่เขารักและเชื่อมั่นยิ่งกว่าใครในอาณาจักรก๊อดฟาเธอร์แห่งนี้
ในงานศพคืนแรกนั้นเอง ที่มีผู้เห็นเจ้าพ่อหลั่งน้ำตาอยู่เงียบๆท่ามกลางกลิ่นธูปควันเทียนและบรรยากาศสุดสลด การตายของนายกำพล คุปตะวานิชเจริญ เป็นอีกครั้งที่ทำให้ผู้รักษากฏหมายของบ้านเมืองถึงกับเต้นผาง บรรดานายตำรวจชั้นผู้ใหญ่เข้ามาดูเเลการทำคดีนี้อย่างใกล้ชิด
ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.อ.วินิช เจริญศิริ รอง อ.ตร.ปป.๓ พล.ต.ท. สุริยะ โมรานนท์ ผบก.ภ.๑ พล.ต.ต. ธรรมนิตย์ ปิตะนีละบุตร รอง ผบช.ภ.๑ พล.ต.ต. ธวัชชัย จุลสุคนธ์ ผบก.ภ.๒ พ.ต.อ. ไพโรจน์ ง้าวสุวรรณ รอง ผบก.ภ.๒ พ.ต.อ. วีระ อนันตกูล หน.ตร.ภ.ชลบุรี พ.ต.อ. ชัยวัฒน์ ชำนาญพูด ผกก.ชลบุรี เขต ๒ พ.ต.ท. อุดม ภาชนะ
รอง ผกก.ชลบุรี เขต ๒ พ.ต.ท. ผดุงศักดิ์
อุเบกขานนท์ สวญ.สภ.อ.บางละมุง
หลักฐานจากที่เกิดเหตุ มีปลอกกระสุนปืนกลขนาด ๗.๖๒๕ ม.ม. ตกอยู่จำนวน ๖ ปลอก
ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ในเวลาต่อมาว่า ปืนกลที่คนร้ายใช้ไม่ใช่ปืนกลอูซี่ แต่เป็นปืน เตวากาเลฟ ทำในประเทศ เชโกสโลวะเกีย ซึ่งเป็นปืนนอกสารบบ จะมีใช้กันบ้างก็ในเขมร ส่วนหมวกกันน็อกของมือสังหารก็สามารถเก็บลายนิ้วมือแฝงได้ด้วย แต่มันก็ไม่สามารถบอกได้ว่ามือปืนเป็นใครมาจากไหน
การสืบสวนคลี่คลายคดี ก็เลยต้องไปเริ่มกันที่ชนวนสังหาร ซึ่งพอเริ่มต้นตำรวจก็ต้องปวดขมับทีเดียว เพราะปมความขัดแย้งที่จะชักนำความตายมาสู่เฮียเก๊านั้น มีไม่รู้ตั้งกี่เรื่องต่อกี่เรื่อง ทั้งเรื่องเก่าเรื่องใหม่ปนกันยุ่งทีเดียว ใครคือผู้บงการสังหารกันแน่?