คาถากำกับปืนใหญ่
ครั้นถึงรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้หาช่างหล่อเหล็กมาหล่อกระบอกปืนใหญ่จากเมืองจีน ปืนใหญ่เหล็กจึงทําขึ้นได้ในเมืองไทยอีกครั้งหนึ่งปืนใหญ่เหล็กที่ทําขึ้นเมื่อครั้งรัชกาลที่ 3 ได้ความว่ามีจํานวนมาก (หาหลักฐานไม่ได้ว่าที่ร้อยกระบอก) แต่เมื่อรวมกับปืนใหญ่ของเก่าที่เหลือตกค้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาและกรุงธนบุรีด้วยแล้ว ปรากฏในทําเนียบนามปืนใหญ่ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดพระราชทานนามมีถึง 277 กระบอก
สําหรับปืนใหญ่เจ้าพระยารักษาศาสนาเท่าที่ทราบ ปรากฏในทําเนียบนามปืนใหญ่มีขนาดยาว 3 ศอก 10 นิ้ว ใช้กระสุน 4 นิ้ว ดินหนัก 1 ชั่ง ส่วนเจ้าพระยาสัมมาทิษฐิ ไม่มีรายละเอียดบอกไว้
ส่วนชื่อปืนใหญ่ที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดพระราชทานนามนั้น ขอคัดชื่อมาลงไว้เพียงบางส่วน
ส่วนการทําลูกกระสุนปืนใหญ่ก็มีตําราบอกไว้ เรียกว่า “ตําราดินสําหรับพิไชยสงคราม” ซึ่งถ้าจะให้ข้าศึกศัตรูพ่ายแพ้ ท่านให้ประสมดินดังนี้
“ชื่ออัฐธาตุ ดิน 1 ชั่ง มาด (มาศ = กํามะถัน) 10 ตําลึง ถ่านละหุ่ง 2 บาท ชันย้อย 1 ตําลึง กระดูกผีเป็นถ่าน 3 บาท ปั้นดินลูกพรุยิงแห่งใดเป็นไฟไหม้แห่งนั้นแล…
ชื่อมุติชาติ ดิน 1 ชั่ง ถ่านไม้รัก 6 ตําลึง มาด 2 บาท เอามูตโค, กะบือ, ช้าง ต้มแล้วบด หระดาน 3 บาท แมลงภู่ 7 ตัว ถ่านกระดูกแลน 3 บาท ปั้นเป็นลูกปืนยิ่งไปข้าศึกหนีแล”
จากตําราดินปืนดังกล่าวจะเห็นได้ว่า นอกจากจะเอาดินประสิว ถ่าน และกํามะถัน ซึ่งเป็นสารหลักใช้ประสมทําดินปืนแล้ว ยังมีการใช้สิ่งของที่ไม่เป็นมงคล เช่นกระดูกผี กระดูกสัตว์อัปมงคล ขี้ช้าง, ม้า, โค และกระบือประสมเข้าไปด้วย
แต่แค่นั้นยังไม่พอ ลูกกระสุนปืนนั้นต้องเอามาเสกเป่าพระคาถา 108 ที่ (คาบ) 1000 ที่ เพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์อีก พระคาถาที่เศกมีดังนี้ “สามานาทา, สิมินิทิ, สุมุนุทุ, สูมูนูทู, เสเมเนเท, แสแมแนแท, โสโมโนโท, เสาเมาเนาเทา, สํ มํ นํ ทํ, ส ม น ท”
หรือบางลูกก็ห่อด้วยยันต์แล้วเสกด้วยพระคาถาอีกที
นอกจากนั้นก็มีการเอาลูกกระสุนชุบน้ำมันที่เคี่ยวเป็นพิเศษ ซึ่งน้ำมันนั้นประกอบด้วย แมงภู่ตายคารูบดละเอียด 1 มะพร้าวจึงออกลูกเดียวด้านทิศตะวันออก 1 สีผึ้งซึ่งไหว้ศักดิ์สิทธิ์สามสถาน 1 สมองสรรพสัตว์ 1 ท่านว่ากระสุนที่ชุบน้ำมันนี้ “ยิงแม่นแล”
ตํารายิงปืนใหญ่สมัยก่อนท่านยังบอกด้วยว่า การยิงปืนนั้นจะยิงให้ตายก็ได้หรือจะยิงเลี้ยงคือยังไม่ให้ตายก็ได้ ถ้าจะยิงเลี้ยง ท่านให้ทําลูกกระสุนดังนี้
“อนึ่งถ้ายิงคนก็ดี สัตว์ก็ดี จะเอาเป็นมิให้ตาย ท่านให้เอาสีผึ้งมานั้นเป็นลูกกระสุนให้รวงกระสุนนั้นเสีย แล้วเอาไม้พลับพลาผ่าเผาเป็นเถ้าแล้ว ปรอทหนัก 3 กะปังทองนั้นด้วยเถ้า แล้วตรอกเข้าในลูกกะสุนที่รวงไว้นั้น แล้วให้เอาผ้าขาวมาขยําด้วยอัลมานห่อลูกกะสุนนั้น และเมื่อจะยิงนั้นให้ค่อยยัดจงดี อย่าให้ลูกกะสุนแตกได้แล้วยิงเถิด ถ้าคนก็ดี สัตว์ก็ดี อยู่ใกล้กัน 4-5 คน, 3-4 ตัว ได้เป็นมิตายก่อน ถ้ามิแก้ 3 วันตายแล ถ้าจะแก้มิให้ตาย เอาดินเหนียวแช่น้ำตรอกให้กินบ้างทาบ้างมีตายแล”
อ้างอิงจาก: อ้างถึงใน กรุงเทพฯ แห่งความหลัง หจก.อักษรบัณฑิต, ไม่ระบุปีพิมพ์. จากศิลปะวัฒนธรรมดอทคอม