ฮาว ทู เจ็บ - เจ็บอย่างไรให้จบ
ผมเชื่อว่าเกือบทุกคนต้องเคยผ่านประสบการณ์ด้านความรักมาแล้วทั้งนั้น สมหวังบ้าง ผิดหวังบ้าง ก็ถือเป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้ คนที่ประสบความสำเร็จในความรักก็ถือว่าโชคดี ส่วนคนที่ล้มเหลวก็ใช่ว่าจะโชคร้าย เพราะบางครั้งมันก็เป็นโอกาสที่จะได้ไปเจอคนที่ดีกว่าอีกเยอะแยะ แต่หลายคน เจ็บ แล้วไม่ (อยาก) จบ เคยเป็นกันใช่มั้ยครับ
สิ่งที่ผมจะเขียนต่อไปนี้ขอใช้คำว่า คำแนะนำ ที่อาจจะช่วยให้ “เจ็บแล้วจบ” หรือ “จบที่จะเจ็บ” ซึ่งผมลองใช้กับตัวผมเองแล้วคิดว่ามันได้ผลพอสมควร จริง ๆ แล้วผมเองก็ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความรัก แต่ก็เคยผ่านวิกฤตความรักมาหลายครั้ง แต่ละครั้งก็พยายามหาวิธีที่ทำให้ตัวเองผ่านพ้นช่วงเวลาแย่ ๆ ไปให้ได้ จนค้นพบความจริงข้อหนึ่งว่า สิ่งที่จะช่วยรักษาใจเราได้ดีที่สุดก็คือ ความคิด ของเรานี่แหละครับ
ข้อแรก ผมอยากให้คุณเข้าใจและยอมรับความจริงหรือธรรมชาติของมนุษย์ข้อหนึ่งครับว่า เราทุกคนย่อมต้องการเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดหรือเหมาะสมที่สุดให้กับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของเครื่องใช้ เครื่องแต่งกาย อาหาร หรือใด ๆ ก็แล้วแต่ เราก็มักจะเอาความพอใจของเราตัดสินว่าสิ่งไหนดีกับเราหรือเหมาะสมกับเรามากที่สุด และสุดท้ายเราก็จะเลือกสิ่งนั้น ยกเว้นว่าเลือกไม่ได้จริง ๆ ซึ่งแม้เราจะได้มันมา แต่ถ้าหากมีโอกาสเลือกได้และเจอสิ่งที่ใช่กว่าเราก็พร้อมจะสละมันไป จริงมั้ยครับ
การเลือกใครสักคนเข้ามาเป็นคู่ชีวิตก็เช่นกันครับ ทั้งผมและคุณก็ต้องการหาคนที่ใช่ที่สุดสำหรับเราทั้งนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คุณจะไม่ใช่คนสุดท้ายของเขา หรือเขาอาจไม่ใช่คนสุดท้ายของคุณ นี่คือโลกธรรมของมนุษย์ที่สามารถเข้าใจได้ง่ายมาก ขึ้นอยู่กับว่าคุณพร้อมที่จะเข้าใจและยอมรับมันหรือเปล่า ซึ่งถ้าหากคุณเข้าใจความจริงข้อนี้ มันจะทำให้คุณรู้จักเผื่อใจเวลารักใครสักคน เพราะหากวันหนึ่งเขาเจอคนที่ใช่กว่า คุณก็จะกลายเป็นคนที่ยังใช่ไม่พอสำหรับเขาทันที และตราบใดที่โลกนี้ไม่ได้มีเพียงคุณกับเขา โอกาสที่เขาจะเจอคนที่ใช่กว่ามันก็เกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้น การไปยึดติดหรือทุ่มเทให้กับความรักจนสุดหัวใจก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป เราควรเผื่อใจไว้ให้กับอนาคตที่คาดเดาไม่ได้บ้าง ไม่ว่าความรักที่คุณจะมอบให้ใครสักคนมันมีปลายทางที่ร้อย พัน หมื่น แสน หรือล้าน คุณก็ควรเริ่มต้นมันจากศูนย์เสมอ เพราะยิ่งคุณเริ่มจากสูงเท่าไหร่ หากพลาดพลั้งตกลงมา คุณก็ยิ่งเจ็บเท่านั้น
ข้อที่สอง ผมเข้าใจดีว่าช่วงเวลาแห่งวิกฤตความรักมันทรมานมากแค่ไหน คนในครอบครัว เพื่อน คนรู้จัก หรือแม้แต่คนที่กำลังจะกลายเป็นอดีตคนรักอาจปลอบโยนคุณด้วยถ้อยคำให้กำลังใจต่าง ๆ นา ๆ ซึ่งผมคิดว่ามันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมากนัก แต่ผมอยากให้คุณลอง “ซ้ำเติมตัวเอง” ดูสักครั้ง ใช่แล้วครับ การซ้ำเติมตัวเองจะช่วยให้ความทรมานของคุณบรรเทาลงได้หากคุณซ้ำเติมแบบถูกวิธี นั่นก็คือ การฟังเพลงอกหัก ดู MV อกหัก ดูหนังอกหัก อ่านเรื่องราวของคนอกหัก หรือเสพอะไรก็ได้ที่มันเกี่ยวกับความเจ็บปวดจากความรักเข้าไปในชีวิต และหากคุณอยากร้องไห้ก็ร้องออกมาให้เต็มที่ ให้สุดหัวใจที่มันเก็บความเจ็บปวดนั้นไว้ เพราะผมเชื่อว่าน้ำตาจะช่วยระบายความเจ็บปวดในใจของเราได้ แต่ผมจะเตือนว่าการร้องไห้ของคุณจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย หากคุณมองไม่เห็นว่า คนในเพลง MV หนัง หรือในตัวหนังสือที่คุณเสพมันเข้าไปก็ร้องไห้เช่นเดียวกับคุณ
ผมต้องการบอกว่า คุณไม่ใช่คนเดียวในโลกนี้ที่ร้องไห้เพราะความรัก คุณไม่ใช่คนเดียวที่ล้มเหลวหรือผิดหวังจากความรัก ใคร ๆ ก็เคยพบเจอวิกฤตความรักกันมาทั้งนั้น การที่คุณได้เสพภาพ เสียง หรืออารมณ์ความรู้สึกที่มันกำลังเกิดขึ้นในใจคุณ มันทำให้คุณรับรู้ว่าคุณยังมีเพื่อนที่ตกอยู่ในภาวะเดียวกับคุณและเข้าใจความเจ็บปวดของคุณในขณะนั้น ที่สำคัญคือมันจะช่วยให้คุณเข้าใจว่า การผิดหวังจากความรักนั้นช่างเป็นเรื่องธรรมดาซะเหลือเกิน มันมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกเวลา และในเมื่อมันเป็นเรื่องธรรมดา ทำไมเราจึงต้องไปเสียเวลาหรือเสียใจกับมันมากมายขนาดนั้น พยายามดึงสติของคุณกลับมาแล้วทบทวนตัวเองว่า คุณเกิดมามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร? หรือ คุณต้องการอะไรมากที่สุดในชีวิต? ผมไม่รู้หรอกว่าคุณจะตอบตัวเองว่าอย่างไร แต่สำหรับผม “ความสุข” คือเป้าหมายของการเกิดมาและการมีชีวิตอยู่ และเพราะผมไม่รู้ว่าผมจะตายเมื่อไหร่ แล้วทำไมผมจึงต้องปล่อยให้ตัวเองยังอยู่กับความทุกข์ด้วยแค่เรื่องธรรมดา ๆ แบบนี้ คุณว่าจริงมั้ยครับ ใคร ๆ เกิดมาก็อยากมีความสุขกันทั้งนั้น ดังนั้นอะไรที่มันเป็นทุกข์ก็อย่าเข้าไปหามัน หรือพยายามสลัดมันทิ้งไปให้ได้มากที่สุด แล้วใช้เวลาที่เหลืออยู่กับสิ่งที่ให้ความสุขแก่เราดีกว่า ถ้าคุณบอกว่าเขาคือสิ่งที่ให้ความสุขกับคุณ นั่นเป็นสัญญาณว่าคุณกำลังจะกลับไปเจ็บซ้ำอีกรอบ ประสบการณ์แย่ ๆ มีไว้เพื่อสอนให้เราจำ ไม่ใช่ให้เราทำซ้ำอีกรอบ และถึงแม้วิธีที่ผมแนะนำอาจจะทำได้ยาก แต่ถ้าไม่ลองทำ ความสำเร็จก็เท่ากับศูนย์นะครับ
ข้อที่สาม ข้อนี้เหมาะสำหรับคนที่ไปแอบรักแอบ หรือหลงรักคนมีเจ้าของ หรือรักเขาข้างเดียว ซึ่งผมก็เคยมีประสบการณ์เช่นกัน มันก็เจ็บอยู่นะ โดยเฉพาะเวลาที่เห็นเขาอยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่เรา อารมณ์แบบว่า “อยากเป็นคนนั้น คนที่ฉันไม่มีวันได้เป็น” ผมว่าใครเจอสถานการณ์แบบนี้ก็ทำใจยากเช่นกัน ยิ่งถ้าเป็นคนใกล้ชิดที่ได้เจอกันอยู่ทุกวันก็ยิ่งทรมานกันไปใหญ่ ซึ่งก็ไม่ผิดหรอกครับที่เราจะรักใครสักคนแม้ว่าเขาจะมีคนรักอยู่แล้ว หรือเขาจะไม่รักเราตอบ แต่มันจะผิดและเจ็บถ้าคุณไม่เพียงแค่รัก แต่อยากได้เขามาเป็นของคุณด้วย
ผมเคยฟังเพลงอยู่สองเพลงซึ่งทำให้ผมเรียนรู้การจัดการความรู้สึกของตัวเองเมื่ออยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เพลงแรกชื่อ เคียงข้างด้วยหางตา ของคุณตั๊กแตน ชลดา มีเนื้อร้องท่อนหนึ่งว่า “ขอสิทธิ์ได้เดินเคียงข้าง ร่วมทางด้วยหางตามอง ส่งรักไม่หวังครอบครอง ไปกองอยู่ข้างห้องใจ” อีกเพลงชื่อ เต็มใจให้ ของคุณศุ บุญเลี้ยง ซึ่งนำมาร้องใหม่โดยคุณต่าย อรทัย มีเนื้อร้องท่อนหนึ่งว่า “ฉันรักรักเธอ เพราะใจอยากให้ ใช่รักเพียงเพื่อครอบครอง” สองเพลงนี้มีเนื้อหาที่เหมือนกัน คือ การรักแบบไม่หวังครอบครอง มันทำให้ผมกลับมาคิดว่า ความเจ็บที่เกิดจากการไปรักคนมีเจ้าของหรือเราเขาข้างเดียวมันไม่ได้เกิดความรัก แต่เกิดจากความหวังแล้วมันไม่เป็นไปตามที่หวัง ซึ่งหนึ่งในหวังนั้นก็คือหวังให้เขามาเป็นของเรา และในเมื่อมันเป็นไปไม่ได้ มันก็ต้องเจ็บเป็นธรรมดา แล้วเราจะผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้อย่างไร ง่าย ๆ ก็คือทำตามที่เพลงบอกครับ รักแบบไม่หวังครอบครอง แยกความรักกับความหวังออกจากกันให้ได้ แล้วให้เขาไปแค่ความรัก อย่าเอาความหวังของเราให้เขาไปด้วย เพราะเมื่อไม่หวังก็ไม่ผิดหวัง ไม่ผิดหวังก็ไม่ทุกข์ไม่เสียใจ อาจเป็นวิธีที่ฟังดูแล้วโลกสวยและยากต่อการนำไปใช้ในชีวิตจริง แต่สำหรับคนที่ยอมรับความจริงเป็น ผมว่าก็ไม่ยากเท่าไหร่ที่จะใช้วิธีนี้
ข้อที่สี่ พิเศษสำหรับคนที่อยู่ในสถานการณ์ “รู้ว่าเขาหมดใจ แต่ไม่ปล่อยเขาไปสักที” การเลิกรากันย่อมมีสัญญาณเตือนล่วงหน้าเสมอ บางคนใช้ช่วงเวลานี้เป็นระยะทำใจ แต่บางคนใช้เป็นระยะยื้อ ผมว่าทั้งสองอย่างเหนื่อยและเจ็บไม่ต่างกัน แต่ผลลัพธ์ออกมาต่างกัน แผลของคนที่ทำใจรอจะค่อย ๆ ตื้นขึ้นและเจ็บน้อยลง แม้สุดท้ายอาจมีรอยแผลเป็นแต่ก็ถือว่ารักษาหาย แต่แผลของคนที่ยื้อจะยิ่งลึกลงและรักษายากมากขึ้น ขอให้คุณคิดไว้เถอะว่า ถ้าเขาจะไป คุณเอาโซ่ล่ามไว้เขาก็ไม่อยู่ การยื้อไม่ใช่การรักษาแต่เป็นการฆ่าตัวตาย ถ้าเขาจะไปก็แสดงว่าเขาเจอคนที่ใช่กว่า หรือไม่คุณก็กลายเป็นคนที่ไม่ใช่สำหรับเขาแล้ว วิธีรักษาใจง่าย ๆ ก็คือการคิดแบบข้อหนึ่งครับ และอย่าไปลังเลกับอาการ "ก็เหมือนจะยังมีใจ" เพราะมันเป็นอาการที่คุณคิดขึ้นมาเพื่อยื้อเวลาเจ็บให้ตัวเอง หรือไม่ก็เพราะเขายังเห็นประโยชน์อะไรบางอย่างจากตัวคุณก็เท่านั้น ยินดีให้เขาไปแล้วเริ่มต้นใหม่เถอะครับ ทุกอย่างไม่ยากเลย ถ้าเราคิดว่ามันก็ง่าย ๆ แค่นี้เอง
ข้อสุดท้าย “ก็เฮาแค่คนคุย เฮ็ดทุกอย่างก็คือแฟน แต่บ่มีสิทธิ์ควงแขน เปิดโตเป็นคนของใจ” ใครเคยอยู่หรือกำลังอยู่ในสถานการณ์นี้ก็น่าเห็นใจนะครับ จากประสบการณ์ทำให้ผมพอจะเข้าใจความจริงที่ว่า “ความไม่ชัดเจนก็คือความชัดเจน” เพราะคนที่เขารักเราจริงหรืออยากใช้ชีวิตร่วมกับเราจริง เขาย่อมต้องชัดเจนตั้งแต่ต้น หรือชัดเจนมากขึ้นตามการรู้จักตัวตนจริง ๆ ของเรา แต่ถ้าผ่านไปสักระยะหนึ่งหรือคุณรู้สึกว่าคุณกับเขารู้จักกันมากพอสมควรแล้ว แต่เส้นความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับเขายังคงตรงดิ่งไม่ขยับขึ้นลง หรือของคุณขยับอยู่ฝ่ายเดียว นั่นแสดงว่า คุณยังไม่ใช่ the face สำหรับเขา เพียงแต่เขายังไม่อยากตัดคุณทิ้งเพราะเขายังหา final walk ของเขาไม่เจอเท่านั้นเอง
สถานการณ์นี้ ผมว่ายิ่งรู้ตัวเร็วก็ยิ่งเจ็บน้อย หรือหากไม่ตั้งความหวังไว้ตั้งแต่เริ่มต้นก็แทบจะไม่เจ็บเลย แต่ก็อย่างว่าแหละครับ อยู่ ๆ ก็มีคนมาเสนอความหวังให้ มันก็ต้องมีหวังกันบ้าง แต่ต้องหวังแบบมีเกราะคุ้มกัน ต้องรู้จักรักษาระยะห่างเอาไว้ อย่าคิดเองเออเอง เพราะไม่สำคัญหรอกครับว่าเขาจะคุยกับคุณนานแค่ไหน ถ้าเขาให้คุณเป็นได้แค่คนคุย คุณก็ได้แค่คุย ถ้าเริ่มรู้สึกว่ายิ่งคุยยิ่งเจ็บ ก็ถอยห่างออกมาดีกว่าครับ
ผมขอย้ำอีกครั้งว่า สิ่งที่ผมเขียนมาทั้งหมดนั้นเป็นเพียง “คำแนะนำ” ที่ผมเคยนำมาใช้กับตัวเองแล้วมันก็ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บจากความรักได้ในระดับหนึ่ง จะเห็นว่าสิ่งสำคัญก็คือ “ความคิด” ของเราล้วน ๆ เพราะไม่ว่าจะความรักหรือความผิดหวังมันก็เกิดขึ้นที่ใจซึ่งเป็นบ่อเกิดความคิดของเราทั้งนั้น และเมื่อเหตุมันเกิดที่ใจเราก็ต้องไปแก้ไขที่ใจเราจึงจะตรงจุด สำคัญที่สุดคือการเรียนรู้ธรรมชาติที่เป็นความจริงของมนุษย์และปรับใจยอมรับ หากเราเข้าใจและยอมรับได้ ไม่ว่าจะ “เจ็บ” เพราะความรักหรือสาเหตุอื่นใด เราก็จะ “จบ” มันได้ด้วยตัวของเราเอง
สวัสดีครับ
Photo Credit: Uncontrolled Love