1904 สงครามญี่ปุ่น–รัสเซีย
สถานการณ์การขยายอิทธิพลมายังตะวันออกไกลของมหาอำนาจนักล่าอาณานิคมจากยุโรป โดยเฉพาะรัสเซียที่รุกคืบเข้ามาครอบครองแมนจูเรียลงมาถึงคาบสมุทรเลียวตุง และส่อเจตนาว่าจะขยายเขตอิทธิพลให้ ครอบคลุมคาบสมุทรเกาหลี ทำให้ญี่ปุ่นซึ่งมองการคงอิทธิพลของตนไว้ในคาบสมุทรเกาหลีเป็นความอยู่รอดของชาติ ถือเอารัสเซียเป็นภัยคุกคาม จึงได้ดำเนินยุทธศาสตร์ทั้งด้านการทูตและการทหาร เพื่อสถาปนาพื้นที่กันชนบริเวณรอยต่อเขตแดนเกาหลีกับแมนจูเรีย เมื่อการทูตส่อเค้าล้มเหลวและยากที่จะหลีกเลี่ยงทางเลือกในการทำสงคราม ญี่ปุ่นก็ประเมินความพร้อมและความได้เปรียบ โดยพิจารณาปัจจัยความไม่สงบภายในของรัสเซีย เปรียบเทียบกำลังรบทางบกและทางเรือ
ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ที่ส่งผลต่อการส่งกำลังจากพื้นที่ทางยุโรปของรัสเซียมาสมทบในยุทธบริเวณ ศักยภาพในการส่งกำลังบำรุงของรัสเซียในระหว่างที่ทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียยังไม่เสร็จสมบรูณ์ และความได้เปรียบในทางยุทธวิธีความพร้อมและขวัญกำลังใจของทหารญี่ปุ่น ซึ่งประเมินภาพรวมแล้วเห็นว่าอาจยันเสมอหรือชิงความได้เปรียบได้ เล็กน้อย แต่ไม่สามารถเอาชนะเด็ดขาดต่อรัสเซียได้ จึงกำหนดเป้าหมายของการทำสงครามเพียงในระดับเพื่อให้มีการเจรจาไกล่เกลี่ยในเงื่อนไข หกสิบ-สี่สิบ โดยเลือกสหรัฐ ฯ เป็นผู้ไกล่เกลี่ย
ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายประกาศสงครามก่อน แล้วส่งกำลังทางบกรุกเข้าโจมตีรัสเซียที่ปอร์ตอาเธอร์และแมนจูเรีย ควบคู่กับการใช้กำลังทางเรือทำลายกองเรือแปซิฟิกของรัสเซีย ที่แยกกำลังเป็นกองเรือพื้นที่ปอร์ตอาเธอร์ และวลาดิวอสต๊อก ความสำเร็จของการรบทั้งทางบกและทางเรือที่ญี่ปุ่นสามารถยึดปอร์ตอาเธอร์และทำลายกองเรือแปซิฟิกของรัสเซียได้ จนกระทั่งยึดมุกเดนเมืองหลวงของแมนจูเรีย ขับไล่ทหารของรัสเซียออกไปได้สำเร็จ แต่ก็ยังไม่ได้ชัยชนะเด็ดขาด
จนกองเรือของญี่ปุ่นเอาชนะกองเรือทะเลบอลติกของรัสเซียในยุทธนาวีที่ช่องแคบสึชิมา ซึ่งฝ่ายรัสเซียถูกทำลายเกือบหมดทั้งกองเรือนั้น จึงเป็นจังหวะที่ญี่ปุ่นและรัสเซียยอมรับให้สหรัฐฯ เข้ามาเจรจาไกล่เกลี่ยยุติสงครามลงได้ โดยญี่ปุ่นเป็นฝ่ายบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้
บทเรียนจากความสำเร็จของฝ่ายญี่ปุ่นในครั้งนี้ วิเคราะห์ว่ามี ๘ ประเด็น คือ ความมุ่งมั่นและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประชาชน การกำหนดเป้าประสงค์ที่ชัดเจนและสะท้อนความเป็นจริง การเลือกพันธมิตรอย่างระมัดระวัง การเตรียมกำลังที่มีความพร้อมและเพียงพอ การให้คุณค่ากับข่าวกรอง การบ่อนทำลายฝ่ายตรงข้าม การร่วมมือและประสานงานระหว่างหน่วยกำลัง และการกำหนดจังหวะเวลาที่จะยุติสงคราม
บทเรียนต่าง ๆ เหล่านี้เมื่อนำมาวิเคราะห์ในสภาวะแวดล้อมของไทย โดยเฉพาะในกรณีสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีลักษณะเป็นสงครามนอกแบบ ซึ่งฝ่ายตรงข้ามมีเป้าหมายที่การแยกดินแดนเพื่อปกครองตนเอง โดยใช้การก่อการร้าย เป็นเครื่องมือ จะเห็นว่าที่ผ่านมาฝ่ายเรายังทำข้อสอบตามบทเรียนทั้ง ๘ ได้ไม่ดีนัก แม้ยังไม่ถึงขั้นสอบตก แต่ก็มีสภาพน่าเป็นห่วง สถานการณ์ในอนาคตจะดีขึ้นหรือไม่ ประสิทธิภาพการดำเนินงานของทุกภาคส่วนตามกรอบบทเรียนจากสงครามญี่ปุ่น – รัสเซีย น่าจะเป็นสิ่งบ่งชี้ประการหนึ่งสำหรับผู้มีอำนาจตกลงใจในระดับยุทธศาสตร์และนโยบาย
การพัฒนาและเหตุนำไปสู่สงครามญี่ปุ่น-รัสเซีย
นับตั้งแต่สหรัฐฯ ได้ส่งนายพลจัตวาแมทธิว เพอร์รี่ นำเรือรบมาข่มขู่ให้ญี่ปุ่นเปิดประตูประเทศเพื่อค้าขายกับตนเมื่อเดือน กรกฎาคม ค.ศ. 1853 นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปี ค.ศ. 1904 เวลาผ่านไปเพียงครึ่งศตวรรษ ปรากฏว่าญี่ปุ่นสมัยต้นศตวรรษนี้มีความเข้มแข็งทั้งทางทหารและเศรษฐกิจ ญี่ปุ่นสมัยต้นศตวรรษที่ 20 แตกต่างไปจากญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 1853 โดยสิ้นเชิง ซึ่งในปีนั้น ญี่ปุ่นเพียงแต่มองเห็นเรือรบของนายพลเพอร์รี่ที่จอดอยู่นอกชายฝั่งทะเลเฉยๆ ก็หวาดผวา สหรัฐฯ บอกให้ลงนามในสนธิสัญญาเรื่องใดก็รีบทำ เพราะขณะนั้นญี่ปุ่นยังเป็นประเทศด้อยพัฒนา มีโชกุนปกครองประเทศ ไม่มีกำลังรบมากพอเมื่อเปรียบเทียบกับของประเทศตะวันตก
นับตั้งแต่ถูกสหรัฐฯ ข่มขู่ให้เปิดประเทศเป็นต้นมา ญี่ปุ่นเร่งรีบปรับปรุงประเทศครั้งใหญ่ ผู้นำของญี่ปุ่นมองเห็นภัยจากลัทธิล่าเมืองขึ้นของตะวันตกซึ่งกำลังขยายตัว มายังเอเชีย และมองเห็นว่า มีทางเดียวที่ญี่ปุ่นจะรอดพ้นจากการตกเป็นเหยื่อของนักเลงโตตะวันตก ญี่ปุ่นจะต้องเปลี่ยนแนวทางเก่าๆ แล้วหันมาปกครองประเทศตามแบบของตะวันตก
ขณะที่ต้องเปิดประตูประเทศเพื่อคบค้ากับต่างชาติเพราะถูกสหรัฐฯ ข่มขู่ บรรดาซามูไรกลุ่มหนึ่งไม่พอใจการ “ยอมแพ้” ของโชกุนจึงรวมตัวการต่อต้าน ระหว่างปี ค.ศ. 1867-8 เกือบเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นระหว่างกลุ่มซามูไรกลุ่มต่อต้านนโยบายเปิด ประตูประเทศกับซามูไรสนับสนุนรัฐบาล แต่โยชิโนบุ ผู้ดำรงตำแหน่งชุนกุนขณะนั้น หลีกเลี่ยงการทำสงครามกลางเมืองด้วยการมอบอำนาจปกครองประเทศกลับคืนไปให้ องค์จักรพรรดิ นับตั้งแค่นั้นมา ญี่ปุ่นเริ่มต้นก้าวเข้าสู้ยุคใหม่ อำนาจของโชกุนซึ่งปกครองประเทศแทนองค์จักรพรรดิเป็นเวลายาวนานถึง 700 ปี สิ้นสุดลง โยชิโนบุกลายเป็นผู้เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสครั้งสำคัญของญี่ปุ่น
ปี ค.ศ. 1868 กลายเป็นปีเริ่มต้นศักราชใหม่ของญี่ปุ่น นักประวัติศาสตร์เรียกยุคนี้ของญี่ปุ่นว่า “ยุคฟื้นฟูเมจิ” เพราะองค์จักรพรรดิเมจิรับอำนาจการปกครองประเทศกลับคืนจากโชกุนแล้ว เร่งรีบพัฒนาประเทศจนมีความเจริญรุ่งเรือง
บรรดาผู้นำของญี่ปุ่นในยุคฟื้นฟูเมจิ คะนึงถึงนโยบายต่างประเทศอยู่มาก ถึงแม้ว่าขณะนั้น ลัทธิจักรวรรดินิยมของตะวันตกยังไม่เป็นภัยร้ายแรงต่อญี่ปุ่น ขณะที่ญี่ปุ่นรีบเร่งสร้างประเทศให้ทันสมัยก็ตาม แต่ผู้นำของญี่ปุ่นขณะนั้นคำนึงถึงสัญญาที่เสียเปรียบซึ่งญี่ปุ่นทำไว้กับ สหรัฐฯ เมื่อครั้งสหรัฐฯ ส่งนายพลเพอร์รี่นำเรือรบมาข่มขู่ ความเสียเปรียบของญี่ปุ่นมีอยู่หลายเรื่อง เช่นเรื่องสิทธินอกอาณาเขต เรื่องนี้ชาวตะวันตกกลับมีอำนาจเหนือญี่ปุ่นในดินแดนของญี่ปุ่นเอง นอกจากนั้น การเก็บภาษีชาวตะวันตกต้องเก็บในอัตราจำกัด ญี่ปุ่นพยายามขอแก้ความเสียเปรียบดังกล่าวหลายครั้งซึ่งกว่าจะสำเร็จต้องใช้ เวลายาวนาน
ความยากลำบากดังกล่าวของญี่ปุ่น ทำให้ญี่ปุ่นต้องนำเนินนโยบายต่างประเทศด้วยความระมัดระวัง ในขณะเดียวกันก็เร่งพัฒนาเศรษฐกิจและการทหารให้รุดหน้าเพื่อรักษาเอกราชและ ความมั่นคงของประเทศชาติ
ญี่ปุ่นวางนโยบายแนวป้องกันประเทศโดยวิธีเข้าไปครอบครองดินแดนรอบๆ ริมฝั่งทะเลของประเทศ เพราะญี่ปุ่นมีความเห็นว่า วิธีนี้เป็นการป้องกันประเทศของตนให้พ้นจากการรุกรานของประเทศมหาอำนาจได้ดี ที่สุด ดังนั้นในปี ค.ศ. 1875 ญี่ปุ่นจึงเข้าไปครอบครองเกาะโอกาซาวารา กันโต หลังจากนั้นในปี ค.ศ. 1879 ญี่ปุ่นผนวกเอาเกาะโอกินาวา มาเป็นดินแดนของตน การกระทำของญี่ปุ่นได้รับการคัดค้านจากจีน แต่ญี่ปุ่นไม่สนใจ ยิ่งไปกว่านั้นญี่ปุ่นยังอ้างสิทธิเหนือหมู่เกาะคูริลและแซคาลิน การอ้างสิทธิเหนือหมู่เกาะดังกล่าว เป็นเหตุให้ญี่ปุ่นต้องเผชิญหน้ากับรัสเซีย แต่ญี่ปุ่นกับรัสเซียสามารถตกลงกันได้ อย่างไรก็ดี รัสเซียและญี่ปุ่นเริ่มต้นไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน
ในปี ค.ศ. 1895 ญี่ปุ่นทำสงครามกับจีนเพราะปัญหาเกาหลี ทั้งจีนและญี่ปุ่นแข่งขันกันแย่ง ชิงความเป็นใหญ่เหนือเกาหลีเป็นเวลาหลายศตวรรษมาแล้ว เพราะจีนกับญี่ปุ่นมีความเห็นว่า ใครก็ตามที่เข้ามาครอบครองเกาหลีย่อมเป็นภัยต่อประเทศของตน การแข่งขันแย่งชิงความเป็นใหญ่เหนือเกาหลีของประเทศทั้งสองนำไปสู่การเกิด สงครามจีน-ญี่ปุ่น ปี ค.ศ. 1895 สงครามครั้งนี้ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายมีชัย แต่อันตรายของญี่ปุ่นก็ยังไม่หมดไม่สิ้นไป ญี่ปุ่นมีความเห็นว่า ศัตรูสำคัญบนผืนแผ่นดินใหญ่ของเอเชียที่น่ากลัวกว่าจีนคือรัสเซีย เมื่อรัสเซียขยายอิทธิพลมาทางด้านเอเชียมากขึ้น ถึงปี ค.ศ. 1898 เมื่อรัสเซียเช่าปอร์ต อาเธอร์ ซึ่งตั้งอยู่ในคาบสมุทรเลียวตุง ญี่ปุ่นรู้ทันทีว่าอันตรายจากรัสเซียมีมากขึ้น ญี่ปุ่นต้องรีบทำความตกลงกับรัสเซีย และหาทางออกในรูปของการอยู่ร่วมกันในตะวันออก ขณะเดียวกันญี่ปุ่นเตรียมตัวทำสงครามกับรัสเซีย
ปีค.ศ. 1904 การแข่งขันแย่งชิงความเป็นใหญ่โตในตะวันออกไกลระหว่างญี่ปุ่นกับรัสเซียถึง จุดวิกฤต ญี่ปุ่นมีความเห็นว่า การเจรจาต่อไปกับรัสเซียเป็นเรื่องไม่มีประโยชน์ จึงส่งกองทัพโจมตีปอร์ต อาเธอร์ เป็นการจุดชนวนสงครามญี่ปุ่น-รัสเซีย ปี ค.ศ. 1904-5 อันเป็นสงครามยาวนาน 1 ปี 6 เดือน
ฉากแรกของสงคราม ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายขับไล่ของพระเจ้าซาร์ แห่งรัสเซียออกไปจากเกาหลี หลังจากนั้นญี่ปุ่นยึดครองเกาหลีไว้ ต่อมาญี่ปุ่นมีชัยครั้งใหญ่ในการรบกับกองทหารรัสเซียที่มุกแดนในแมนจุเรีย การรบที่สมรภูมิแห่งนี้ญี่ปุ่นใช้เวลาเพียงสัปดาห์เดียวในการเผด็จศึก แต่ชัยชนะครั้งสำคัญซึ่งญี่ปุ่นชนะรัสเซียโดยเด็ดขาด คือ ยุทธการแห่งซูชิมา ยุทธการครั้งนี้เป็นการรบกลางท้องทะเลครั้งยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในประวัติ ศาสตร์การรบทางทะเล
————————————————–
สถานการณ์และลำดับเหตุการณ์ก่อนเกิดสงคราม
นับจากปี ค.ศ.๑๖๓๙ เป็นเวลากว่าสองร้อยปีที่ญี่ปุ่นปิดประเทศไม่คบค้ามหาอำนาจตะวันตกทั้งหลายยกเว้น เนเธอร์แลนด์ จนกระทั่งกองเรือของสหรัฐฯ ภายใต้บัญชาการของ พลเรือจัตวา แมทธิว ซี.เพอรี (Matthew C.Perry) บุกเข้ามาเยือนญี่ปุ่นใน ค.ศ.๑๘๕๓ ทำให้ญี่ปุ่นต้องจำยอมเปิดประเทศต้อนรับสหรัฐฯ อังกฤษ และรัสเซีย ในปี ค.ศ.๑๘๕๔ และผูกมิตรกับฝรั่งเศสในปีต่อมา ในบรรดามหาอำนาจตะวันตกทั้งหลายเหล่านี้อังกฤษ และรัสเซีย นับว่าเป็นชาติที่ส่งผลกระทบต่อนโยบายความมั่นคงแห่งชาติของญี่ปุ่นมากที่สุด ผู้นำญี่ปุ่นในยุคนั้นมีความเชื่อว่าอังกฤษมีเจตจำนงที่จะผนวกญี่ปุ่นไว้ในเขตอิทธิพล ในขณะเดียวกันก็เฝ้ามองการดำเนินนโยบายในตะวันออกไกลของรัสเซียด้วยความไม่พอใจ
ผลจากความพ่ายแพ้ต่ออังกฤษและฝรั่งเศสในสงครามไครเมีย (Crimean War) ในปี ค.ศ.๑๘๕๖ และสนธิสัญญาเบอร์ลินกับจักรวรรดิปรัสเซียในปี ค.ศ.๑๘๗๘ ทำให้รัสเซียหยุดการขยายอิทธิพลในคาบสมุทรบอลข่าน ส่งผลให้รัสเซียเปลี่ยนทิศทางการเร่งขยายอิทธิพลมายังตะวันออกไกล โดยมุ่งเป้าหมายที่พื้นที่ชายฝั่งทะเลญี่ปุ่นและคาบสมุทรเกาหลี การสถาปนาพื้นที่ไซบีเรียตะวันออกในปี ค.ศ.๑๘๔๗ การครอบครองเมืองท่าวลาดิวอสต๊อก (Vladivostok) ในปี ค.ศ.๑๘๖๐ การขยับศูนย์กลางการพัฒนาพื้นที่รัสเซียตะวันออกไกลมาที่เมืองคาบารอฟส์ (Khabarovsk) ในปี ค.ศ.๑๘๙๑ และการเพิ่มเติมกำลังในกองเรือเอเซียตะวันออก พัฒนาการเหล่านี้สร้างความกังวลอย่างยิ่งในหมู่ผู้นำของญี่ปุ่น ด้วยมองว่าการขยายอิทธิพลลงมาทางใต้เช่นนี้เป็นการคุกคามญี่ปุ่นโดยตรง
จากความรู้สึกที่รุนแรงว่ารัสเซียเป็นภัยคุกคาม ญี่ปุ่นจึงเห็นความจำเป็นที่จะต้องสร้างเขตกันชนระหว่างญี่ปุ่นกับรัสเซีย โดยเล็งไปที่คาบสมุทรเกาหลีและแมนจูเรียตอนใต้ ซึ่งจะต้องพยายามป้องกันไม่ให้รัสเซียเข้าไปครอบครอง ช่วงต้นทศวรรษ ๑๘๙๐ ญี่ปุ่นประเมินว่ารัสเซียยังไม่พร้อมที่จะยึดครองพื้นที่ดังกล่าว จนกว่าเส้นทางรถไฟทรานส์ไซบีเรียจะแล้วเสร็จในอีกกว่า ๑๐ ปีข้างหน้า ในขณะที่จีนมีขีดความสามารถที่จะยึดครองเกาหลีได้ ในปี ค.ศ.๑๘๙๔ – ๑๘๙๕ ญี่ปุ่นจึงทำสงครามกับจีนเพื่อป้องกันการขยายอำนาจของจีนเข้าไปในคาบสมุทรเกาหลี พื้นที่กันชนตามแนวคิดยุทธศาสตร์ของญี่ปุ่น ผลของสงครามที่ชัยชนะเป็นของญี่ปุ่นทำให้เกาหลีตกเป็นดินแดนภายใต้ความคุ้มครองของญี่ปุ่น รวมทั้งจีนยังต้องยกเกาะไต้หวัน แมนจูเรียตะวันออก และคาบสมุทรเลียวตุงให้แก่ญี่ปุ่นด้วย
การยึดครองเลียวตุง สร้างความไม่พอใจอย่างยิ่งแก่รัสเซีย ด้วยจะเป็นอุปสรรคในการขยายอิทธิพลของรัสเซีย จึงร่วมมือกับฝรั่งเศสและเยอรมันบีบบังคับให้ญี่ปุ่นถอนตัวจากเลียวตุง ญี่ปุ่นต้องจำยอมในที่สุด เพราะประเมินว่ายังไม่เข้มแข็งพอที่จะต่อกรกับมหาอำนาจทั้ง ๓ พร้อมกันได้ แต่ก็ได้ฝังลึกความเคียดแค้นต่อรัสเซียผู้จุดชนวนในครั้งนี้เพิ่มขึ้นอีก และก็นับเป็นครั้งแรกที่ญี่ปุ่นได้สัมผัสกับความเป็นจริงของเกมอำนาจในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ชาติอ่อนแอจะตกเป็นเหยื่อของชาติที่เข้มแข็งกว่า
ผลจากเหตุการณ์ดังกล่าว รัฐบาลญี่ปุ่นได้เร่งเสริมสร้างกำลังอำนาจทางทหารเป็นการใหญ่ โดยขยายกำลังกองทัพบกจาก ๗ กองพล เป็น ๑๓ กองพล และสั่งต่อเรือใหม่ถึง ๑๐๔ ลำ ในจำนวนนี้เป็นเรือประจัญบาน ๔ ลำ และเรือลาดตระเวนหนัก ๑๑ ลำ โดยส่วนใหญ่จะสั่งต่อจากอังกฤษและสหรัฐฯ และกำหนดส่งมอบระหว่างปี ค.ศ.๑๘๙๖ – ๑๙๐๕
เมื่อญี่ปุ่นถอนตัวจากเลียวตุง มหาอำนาจตะวันตกทั้ง ๓ ก็เข้าไปแสวงประโยชน์แทน โดยรัสเซียได้รับสิทธิสร้างทางรถไฟผ่านแมนจูเรียในปี ค.ศ.๑๘๙๖ เยอรมันส่งกำลังเข้าไปครอบครองซิงเตาในปี ค.ศ.๑๘๙๗ และบังคับให้จีนยอมทำสัญญาให้เยอรมันเช่า ในปี ค.ศ.๑๘๙๘ รัสเซียจึงส่งกำลังไปบีบบังคับขอเช่าเมืองท่าปอร์ตอาเธอร์ที่ปลายแหลมเลียวตุง และต่อทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียไปถึงเมืองท่าดังกล่าว ในปีเดียวกันอังกฤษก็ได้รับสิทธิเช่าเมืองเวยไฮเวย (Weihaiwei) ในคาบสมุทรชานตุง และปีต่อมาฝรั่งเศสก็ได้สิทธิการเช่าเมืองกวางโจว
การเข้าไปตักตวงผลประโยชน์บนดินแดนของจีน ก่อให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านจากชาวจีนผู้รักชาติ จนเกิดกบฎนักมวย (Boxer Rebellion) ในปี ค.ศ.๑๙๐๐ จนมหาอำนาจทั้งหลายรวมถึงอังกฤษ สหรัฐฯ ฝรั่งเศส รัสเซีย และญี่ปุ่น ส่งกำลังเข้าไปช่วยรักษาความสงบในปักกิ่ง จนเหตุการณ์สงบลง แต่รัสเซียกลับไม่ยอมถอนทหารออกจากแมนจูเรีย แสดงเจตนาอย่างชัดแจ้งว่าจะยึดครองแมนจูเรีย พร้อมทั้งยังเสนอให้ญี่ปุ่นยินยอมให้คาบสมุทรเกาหลีเป็นดินแดนที่เป็นกลาง ญี่ปุ่นปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว เพราะมองว่าจะเป็นการยอมรับการครอบครองแมนจูเรียของรัสเซียไปโดยปริยาย
อย่างไรก็ตามรัฐบาลญี่ปุ่นประเมินว่าไม่สามารถขับไล่กำลังของรัสเซียออกจากแมนจูเรียได้ จึงมีแนวคิดที่จะยับยั้งไม่ให้รัสเซียรุกคืบเข้ามาในคาบสมุทรเกาหลีด้วยวิธีการทางการทูต แต่การเจรจาต่อรองกับรัสเซียไม่ประสบผลสำเร็จ ในปี ค.ศ.๑๙๐๒ ญี่ปุ่นจึงหันไปผูกมิตรกับอังกฤษที่มีผลประโยชน์ขัดแย้งกับการขยายอิทธิพลของรัสเซียใน เอเซียตะวันออก และเร่งขยายขีดความสามารถทางทหาร โดยเฉพาะการเสริมสร้างกำลังทางเรือประเภทเรือรบหลักตามเป้าหมาย “กองเรือ ๖ – ๖“ (เรือประจัญบาน ๖ ลำ เรือลาดตระเวนหนัก ๖ ลำ) เพราะมองว่ารัสเซียกำลังเป็นภัยคุกคามที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ค.ศ.๑๙๐๔ รัฐบาลญี่ปุ่นตัดสินใจที่จะทำสงครามกับรัสเซีย หลังจากการเจรจาต่อรองทางการทูตไม่คืบหน้าและมีแนวโน้มว่าหากทิ้งช่วงเวลาเนิ่นนานต่อไปอีก ความพร้อมทางทหารของรัสเซียที่แมนจูเรียและปอร์ตอาเธอร์จะยิ่งสร้างความยากลำบากให้แก่กำลังทหารของญี่ปุ่นหนักขึ้นเรื่อย ๆ ในวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ค.ศ.๑๙๐๔ จึงตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัสเซีย และประกาศสงครามอย่างเป็นทางการ ในวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ค.ศ.๑๙๐๔…
การประเมินยุทธศาสตร์ของญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นประเมินองค์ประกอบหลัก ๕ ประการ ก่อนตัดสินใจที่จะทำสงครามกับรัสเซีย
- ประการแรกมองว่าเหตุการณ์ความไม่สงบภายในของรัสเซียจากความเคลื่อนไหวของกลุ่มปฏิวัติต่อต้านรัฐบาลส่งผลดีต่อญี่ปุ่น จึงได้ตัดสินใจส่งเจ้าหน้าที่ไปยุโรปเพื่อปฏิบัติการสนับสนุนความเคลื่อนไหวของกลุ่มเหล่านี้
- ประการที่สอง ญี่ปุ่นประเมินว่ารัสเซียจะไม่สามารถระดมกำลังมาที่แมนจูเรียได้อย่างเต็มที่ เพราะต้องแบ่งกำลังบางส่วนไว้ในพื้นที่ยุโรป เพื่อรับมือกับตุรกี เยอรมัน และออสเตรีย กำลังรบทางบกจึงน่าจะมีกำลังใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะญี่ปุ่นเองก็ไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะต้องได้ชัยชนะเด็ดขาด เพียงคาดหวังให้ประเทศที่สาม ซึ่งน่าจะเป็นสหรัฐฯ เข้ามาไกล่เกลี่ย ก่อนที่การสู้รบจะยืดเยื้อจนรัสเซียระดมกำลังจากยุโรปเข้ามาเพิ่มในพื้นที่ได้
- ประการที่สาม ด้านกำลังรบทางเรือ ญี่ปุ่นประเมินว่ามีความได้เปรียบเหนือกองเรือภาคพื้นแปซิฟิกของรัสเซีย เนื่องจากการเสริมกำลังทางเรือจากยุโรปต้องเดินทางอ้อมแหลมกู๊ดโฮปและจะมีปัญหาในการส่งกำลังบำรุง เพราะเมืองท่าส่วนใหญ่เป็นเมืองขึ้นของอังกฤษที่เป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น นอกจากนั้นกำลังทางเรือในแปซิฟิกเองยังแบ่งเป็น ๒ พื้นที่ คือ ที่ปอร์ตอาเธอร์ และวลาดิวอสต๊อก ญี่ปุ่นจึงน่าจะสามารถรวมกำลังและจัดการกับกำลังทางเรือของรัสเซียในแต่ละพื้นที่ได้ อันจะทำให้ญี่ปุ่นสามารถควบคุมเส้นทางคมนาคมทางทะเลที่มีความสำคัญยิ่งต่อการส่งกำลังบำรุงจากญี่ปุ่นไปยังกองทหารในแมนจูเรียได้
- ประการที่สี่ ที่ญี่ปุ่นมองว่าเป็นความได้เปรียบ คือ ทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียยังไม่เสร็จสมบูรณ์ การส่งกำลังบำรุงจากพื้นที่ยุโรปของรัสเซียมายังพื้นที่แมนจูเรียจะทำได้จำกัด ญี่ปุ่นจะต้องโจมตีทำลายกำลังของรัสเซียในแมนจูเรียให้ได้ ก่อนที่ระบบข่ายงานการส่งกำลังบำรุงของรัสเซียจะใช้งานได้อย่างเต็มที่ ในเรื่องการส่งกำลังบำรุงนี้ ฝ่ายญี่ปุ่นก็ตระหนักดีว่ามีปัญหาในทำนองเดียวกัน และมีแนวความคิดว่าจะไม่รุกคืบเข้าไปในแมนจูเรียลึกและเร็วเกินไป แม้จะเป็นฝ่ายได้เปรียบก็ตาม
- ประการสุดท้าย เป็นความได้เปรียบทางด้านยุทธวิธี เนื่องจากกองทัพรัสเซียมีขนาดใหญ่อุ้ยอ้ายเกินกว่าที่จะทำการรบในที่ราบขนาดใหญ่มหาศาลของแมนจูเรียได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งกำลังพลก็ด้อยการฝึก และการสื่อสารก็ไม่ดี ทำให้ขาดความคล่องตัวในการดำเนินกลยุทธ์ ญี่ปุ่นจึงเชื่อว่าจะได้เปรียบจากการจัดกำลังรบให้มีขนาดย่อมลงและใช้ความคล่องตัวให้เป็นประโยชน์ พร้อมทั้งเน้นการฝึกกำลังพลให้พร้อมทำการรบในเวลากลางคืนอีกด้วย
แม้จะประเมินว่ามีความได้เปรียบต่าง ๆ ดังกล่าว ฝ่ายญี่ปุ่นเองก็ยังเห็นพ้องกันว่า คงไม่สามารถเอาชนะรัสเซียเด็ดขาดได้ เพียงแต่อาจสามารถยันเสมอหรือบรรลุความได้เปรียบเล็กน้อย จึงกำหนดเป้าหมายยุทธศาสตร์ให้มีการไกล่เกลี่ยในเงื่อนไข หกสิบ-สี่สิบ (sixty – forty reconciliation) เป้าหมายนี้จะบรรลุได้ต่อเมื่อกองทัพญี่ปุ่นมีความได้เปรียบเหนือกว่ากองทัพรัสเซียในแมนจูเรีย ซึ่งเป็นเรื่องค่อนข้างยากเพราะกำลังสำรอง รวมทั้งอาวุธและกระสุนมีจำกัด
แต่ญี่ปุ่นก็เชื่อว่าไม่เกินขีดความสามารถ เพราะความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์และความมีวินัยและมุ่งมั่นของทหารญี่ปุ่น ประการต่อมา กองเรือของญี่ปุ่นจะต้องทำลายกองเรือภาคพื้นแปซิฟิกของรัสเซีย ก่อนที่กำลังทางเรือของรัสเซียจากยุโรปจะเดินทางมาถึงพื้นที่ ประเด็นนี้ก็อยู่ในวิสัยที่จักรพรรดินาวีญี่ปุ่นจะกระทำได้ ประการที่สามญี่ปุ่นจะต้องมีแหล่งเงินทุนเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายในการทำสงครามได้อย่างเพียงพอ
การเป็นมิตรกับอังกฤษ ทำให้ญี่ปุ่นได้เครดิตจากหลายประเทศและผู้นำทางภาคเศรษฐกิจของญี่ปุ่นก็สนับสนุนการทำสงครามอย่างเต็มที่ จึงไม่น่าจะเป็นปัญหา และประการสุดท้ายญี่ปุ่นจะต้องได้รับความร่วมมือจากสหรัฐฯ ในการเข้ามาไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ในห้วงเวลาที่ญี่ปุ่นจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ ญี่ปุ่นจึงส่งทูตพิเศษเป็นการเฉพาะไปเจรจาโน้มน้าวประธานาธิบดีสหรัฐฯและประชาคมสหรัฐฯ ให้สนับสนุนญี่ปุ่นตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ จากการประเมินเงื่อนไขและความเป็นไปได้ที่จะบรรลุตามเงื่อนไขต่างๆข้างต้น ญี่ปุ่นจึงได้กำหนดยุทธศาสตร์ในการทำสงครามกับรัสเซียเป็น “การไกล่เกลี่ยในเงื่อนไข หกสิบ-สี่สิบ”
ยุทธการและการรบที่สำคัญ
ญี่ปุ่นได้วางแผนการรบร่วมโดยกำหนดบทบาทของกำลังทางบกและกำลังทางเรืออย่างชัดเจน ส่วนแรกการปฏิบัติการทางบก แบ่งการรบเป็น ๒ ระยะ เริ่มจากการส่งกำลัง กองทัพที่ ๑ ขึ้นบก ที่อินชอนในคาบสมุทรเกาหลี แล้วเคลื่อนทัพไปยังแมนจูเรีย จากนั้นส่งกองทัพที่ ๒ และ ๓ ขึ้นบก ที่ชายฝั่งตอนใต้ของคาบสมุทรเลียวตุง โดยกองทัพที่ ๒ เคลื่อนทัพไปที่แมนจูเรีย ประสานการรบกับกองทัพที่ ๑ ส่วนกองทัพที่ ๓ จะควบคุมพื้นที่คาบสมุทรเลียวตุงและเข้ายึดปอร์ตอาเธอร์ พร้อมกันนี้ก็จะส่งกองทัพที่ ๔ ขึ้นบกที่ชายฝั่งทางตะวันอกเฉียงเหนือของอ่าวโปไห่ (Po-Hai) มุ่งหน้าไปยังเลี่ยวหยาง (Liaoyang) และประสานการรบกับกองทัพที่ ๒ (ดูแผนที่ประกอบ) ในการนี้ได้กำหนดให้กองทัพทั้งหมดพักทัพทางตอนเหนือของเลี่ยวหยางในช่วงฤดูหนาวของปี ค.ศ.๑๙๐๔ – ๑๙๐๕ จากนั้นจะเริ่มปฏิบัติการระยะที่ ๒ ในต้นฤดูใบไม้ผลิของปี ค.ศ.๑๙๐๕ จนสิ้นสุดสงคราม โดยทั้ง ๔ กองทัพจะรวมกำลังกันเข้าทำการยุทธ์กับกำลังหลักของรัสเซียในแมนจูเรียในขั้นสุดท้าย

แผนที่แสดงแผนการทัพของกำลังทางบกของญี่ปุ่น
สำหรับการปฏิบัติการทางเรือ กองทัพเรือได้รับมอบให้ปฏิบัติ ๒ ภารกิจ คือ การทำลายกองเรือแปซิฟิกของรัสเซียที่ประกอบด้วยกองเรือที่ปอร์ตอาเธอร์กับวลาดิวอสต๊อก และควบคุมทะเลโดยรอบญี่ปุ่น กับภารกิจที่สอง คือ สนับสนุนการยกพลขึ้นบกของกำลังทางบกบนคาบสมุทรเกาหลีและเลียวตุง จึงแบ่งกำลังทางเรือเป็น ๓ ส่วน คือ กองเรือที่ ๑ ประกอบด้วย ๖ เรือประจัญบาน กับ ๑ เรือลาดตระเวนเบา มอบกิจให้จัดการกับกองเรือรัสเซียในพื้นที่ปอร์ตอาเธอร์ กองเรือที่ ๒ ประกอบด้วย ๖ เรือลาดตระเวนหนักและเรือลาดตระเวนคุ้มกันจำนวนหนึ่ง จัดการกับกำลังทางเรือรัสเซียในพื้นที่วลาดิวอสต๊อก และกองเรือที่ ๓ ประกอบด้วยเรือลาดตระเวนเบาและเรือป้องกันชายฝั่ง มีหน้าที่คุ้มครองเส้นทางเดินเรือของญี่ปุ่นและสนับสนุนการยกพลขึ้นบกของกองกำลังทางบก
……
การยุทธ์ที่ปอร์ตอาเธอร์
ญี่ปุ่นเลือกปอร์ตอาเธอร์เป็นเป้าหมายแรกของสงคราม โดยประเมินว่าจำเป็นต้องทำลายกองเรือรัสเซียที่ปอร์ตอาเธอร์ให้สิ้นซาก ก่อนที่กำลังทางเรือจากทะเลบอลติกของรัสเซียภายใต้บัญชาการของพลเรือเอกโรซเดสท์เวนสกี (Petrovich Rozhdestvenski) จะเดินทางมาสมทบ ซึ่งหากทำได้สำเร็จก็จะส่งผลต่อการรบทางบกอย่างใหญ่หลวง ทั้งยังเป็นเครื่องประกันความปลอดภัยของเส้นทางขนส่งลำเลียงทางทะเลที่จะช่วยในการสนับสนุนการส่งกำลังบำรุงแก่กำลังทางบกของญี่ปุ่นในแมนจูเรียด้วย
ในห้วง ๓ เดือนแรก กองเรือของญี่ปุ่นภายใต้การบัญชาการของ พลเรือเอก โตโง (Togo) ใช้ทั้งการส่งเรือพิฆาตลอบเข้าโจมตีด้วยตอร์ปิโดในเวลากลางคืน การปิดล้อมท่าเรือด้วยเรือจมและทุ่นระเบิด และการใช้เรือระดมยิงนอกระยะปืนใหญ่บนฝั่งของปอร์ตอาเธอร์ เพื่อดึงให้เรือรบรัสเซียออกมาทำยุทธนาวีนอกท่าเรือ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ แถมยังสูญเสียกำลังบางส่วนอีกด้วย
ขณะที่กำลังทางบกจากกองทัพที่ ๓ ภายใต้การนำของนายพล โนจิ (Maresuke Nogi) เริ่มรุกเข้าสู่แนวป้องกันของรัสเซียที่ปอร์ตอาเธอร์ ใน ๒๖ มิถุนายน ค.ศ.๑๙๐๔ และรุกคืบด้วยความยากลำบาก ต้องประสบความสูญเสียอย่างหนัก เพราะชัยภูมิที่เสียเปรียบ แต่ที่สุดก็ยังสามารถรุกเข้ายึดพื้นที่เนินเขาที่สามารถระดมยิงปืนใหญ่ใส่ท่าเรือและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ปอร์ตอาเธอร์ได้ใน ๗ สิงหาคม ค.ศ.๑๙๐๔ ส่งผลให้กองเรือรัสเซียต้องทิ้งเมืองท่าปอร์ตอาเธอร์ไปสมทบกับกำลังทางเรือที่วลาดิวอสต๊อก โดยออกเรือ ใน ๑๐ สิงหาคม ค.ศ.๑๙๐๔ ซึ่ง พลเรือเอก โตโง ก็ส่งกำลังจากกองเรือที่ ๑ และกองเรือที่ ๓ ประกอบด้วย ๖ เรือประจัญบาน และ ๔ เรือลาดตระเวนเบาเข้าปะทะทันที แต่จากประสบการณ์ที่เคยส่งกำลังทางเรือไปประจันหน้าแล้วเรือรัสเซียหนีกลับท่าเรือในปฏิบัติการก่อนหน้านั้น ทำให้โตโงแบ่งกองเรือเป็น ๒ ส่วน ส่วนหนึ่งเข้าปะทะ อีกส่วนหนึ่งไปสกัดทางถอยกลับเข้าท่า จึงทำให้ขาดการรวมกำลังอำนาจการยิง ประกอบกับการใช้ปืนเรือที่แม้จะได้เปรียบกว่า (ขนาดและระยะยิง) แต่ก็ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร จึงไม่ประสบผลสำเร็จในการทำลายกองเรือของรัสเซียมากนัก
โดยเฉพาะการปะทะกันในรอบแรกเป็นเวลาเกือบ ๒ ชั่วโมงเต็ม ที่ระยะประมาณ ๑๑,๐๐๐ หลา ซึ่งปืนใหญ่ขาดความแม่นยำ ไม่สามารถยิงถูกเรือรัสเซียได้เลย หลังจากนั้นอีก ๒ ชั่วโมง เมื่อเรือรบทั้ง ๒ ฝ่ายเข้าใกล้กันที่ระยะ ๗,๐๐๐ หลา จึงมีการปะทะกันอีกรอบหนึ่งเป็นเวลาเกือบ ๓ ชั่วโมง บังเอิญที่เรือธงของรัสเซียถูกยิงที่หอบังคับการเป็นผลให้ พลเรือตรี วิทเกฟต์ (V.K. Vitgeft) เสียชีวิต และผู้บังคับการเรือบาดเจ็บสาหัส กองเรือของรัสเซีย จึงขาดการควบคุมและกระจัดกระจายหนีรอดไปได้ แต่กำลังทางเรือเหล่านี้ก็ไม่สามารถหลบรอดไปรวมกับกำลังทางเรือที่วลาดิวอสต๊อกได้ เพราะใน ๔ สิงหาคม ค.ศ.๑๙๐๔ กองเรือที่ ๒ ของญี่ปุ่นซึ่งดักรอกำลังทางเรือจากวลาดิวอสต๊อกที่บริเวณนอกชายฝั่งเมืองอุลซาน (Ulsan) ตรงปากทางเข้าช่องแคบสึชิมา (Tsushima) ก็สามารถทำลายกองเรือดังกล่าวได้ เรือรบอื่น ๆ ที่หลุดรอดไปก็ทยอยถูกโจมตี จนกล่าวได้ว่าญี่ปุ่นสามารถควบคุมทะเลได้อย่างสิ้นเชิง ใน ธันวาคม ค.ศ.๑๙๐๔ รวมทั้งกำลังทางบกของ พลเอก โนจิ ก็เข้ายึดปอร์ตอาเธอร์ได้ ใน ๒ มกราคม ค.ศ.๑๙๐๕
การรบที่ช่องแคบสึชิมา
หลังจากยุทธนาวีที่ทะเลเหลือง นอกฝั่งปอร์ตอาเธอร์และบริเวณนอกฝั่งเมืองอุลซาน เมื่อญี่ปุ่นสามารถควบคุมทะเลได้ โตโงก็นำกองเรือกลับญี่ปุ่น และเตรียมการที่จะเผชิญหน้ากับกองเรือทะเลบอลติกของรัสเซียที่ออกเดินทางมาตั้งแต่ ๑๙ ตุลาคม ค.ศ.๑๙๐๔ บทเรียนจากการรบทางเรือที่ผ่านมา ทำให้โตโงสามารถปรับปรุงหลักนิยม แผนการปฏิบัติและยุทธวิธีที่จะใช้ในการรบกับกองเรือของรัสเซีย โดยใช้แนวคิด “การโจมตีทางลึก (Engagenment in Depth) ” ที่เน้นการโจมตีซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยออกหลักนิยมดังกล่าว เมื่อ ๑๒ เมษายน ค.ศ.๑๙๐๕ และซักซ้อมให้ ผู้บังคับบัญชาและผู้บังคับการเรือทุกระดับเข้าใจในแนวคิดดังกล่าว พร้อมทั้งให้มีการฝึกซ้อมหันเลี้ยวจัดกระบวนเรือและฝึกการยิงปืนเรือที่ระยะไกลให้มีความชำนาญและแม่นยำ โดยเน้นการระดมยิงปืนใหญ่ไปที่เป้าหมายเดียวกันพร้อม ๆ กันทุกกระบอก และยังได้มีการนำอุปกรณ์การวัดระยะที่ปรับปรุงใหม่มาใช้ประกอบกันด้วย ทั้งนี้ได้ตัดสินใจที่จะทำการรบในรูปกระบวนเรียงกัน (single line formation) และกำหนดให้เริ่มยิงที่ระยะ ๗,๐๐๐ – ๘,๐๐๐ หลา ลงมา โดยให้ระดมยิงเรือนำของข้าศึกก่อน จากนั้นค่อยแยกโจมตีซ้ำต่อเรือรบที่เหลือจนกว่าจะทำลายกองเรือรัสเซียได้หมด
นอกจากนั้นยังปรับปรุงประสิทธิภาพในการใช้ตอร์ปิโดจากการโจมตีด้วยเรือพิฆาต ซึ่งการรบที่ผ่านมาขาดความแม่นยำ จนกระทั่งมีความมั่นใจในความพร้อมรบเป็นอย่างยิ่ง โดยจากการเตรียมความพร้อมอย่างยาวนานดังกล่าว ทำให้ฝ่ายญี่ปุ่นประเมินว่าโอกาสจะประสบความสำเร็จในการรบมีถึง ๙๐% ตั้งแต่การรบยังไม่เริ่มต้น ที่เหลืออีก ๑๐% อยู่ที่การปฏิบัติในการรบจริง ซึ่งมีความไม่แน่นอน ความกลัว และความอ่อนแอของมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้องในสถานการณ์ของการสู้รบ อันเป็นธรรมชาติของสงครามที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
การรบจริงเริ่มในวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ค.ศ.๑๙๐๕ เมื่อเรือตรวจการณ์ของญี่ปุ่นตรวจพบเรือพยาบาลท้ายขบวนกองเรือทะเลบอลติกของรัสเซีย กำลังมุ่งหน้ามาทางตะวันออกของช่องแคบสึชิมา อันเป็นไปตามที่โตโงคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า เนื่องจากเป็นเส้นทางที่ใกล้ที่สุดที่จะไปยังวลาดิวอสต๊อก โตโงจึงนำกองเรือจากฝั่งเกาหลีเข้าสกัดและสามารถจัดรูปกระบวนเรือระดมยิงได้ตามแผนที่เตรียมไว้ การยุทธ์เริ่มตั้งแต่ประมาณบ่ายสองโมงจนถึงตอนค่ำและต่อเนื่องถึงตอนเช้าของวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ค.ศ.๑๙๐๕ กองเรือทะเลบอลติกของรัสเซียก็ถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง เรือถูกจมถึง ๒๑ ลำ ที่เหลือถูกยึดและปลดอาวุธ คงมีเพียงเรือลาดตระเวนคุ้มกัน ๓ ลำ ที่หลบรอดไปถึงฐานทัพเรือของสหรัฐฯที่มนิลาได้ ในขณะที่ญี่ปุ่นสูญเสียเรือตอร์ปิโดเพียง ๓ ลำ
การยุติสงครามและบทเรียนในมุมมองญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นตัดสินใจทำสงครามกับมหาอำนาจรัสเซียบนพื้นฐานของการประเมินความได้เปรียบในช่วงที่ รัสเซียยังไม่สามารถระดมกำลังจากยุโรปมาสนับสนุนได้อย่างเต็มที่ แผนทำสงครามจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากการรุกเข้าตีกองกำลังของรัสเซียอย่างต่อเนื่อง จนบรรลุความเหนือกว่าทางทหารในทุกพื้นที่การรบ แล้วจึงร้องขอให้สหรัฐฯ ในฐานะชาติเป็นกลาง เข้ามาไกล่เกลี่ยเพื่อยุติสงครามในเงื่อนไขที่เอื้อประโยชน์ต่อญี่ปุ่น ซึ่งเงื่อนไขสำคัญคือต้องให้เกิดความได้เปรียบทางทหารก่อนที่รัสเซียจะตั้งตัวติด จนสามารถรวมกำลังตีตอบโต้กลับอย่างเต็มรูปแบบได้
ทั้งนี้เพราะญี่ปุ่นเองก็ตระหนักดีว่า ไม่สามารถเอาชนะรัสเซียอย่างเด็ดขาดได้ แม้แต่การเดินตามแผนทำสงครามดังกล่าวนี้ ก็มีความเสี่ยงต่อการที่ชาติจะแพ้สงครามและประสบความหายนะได้ ญี่ปุ่นจึงดำเนินยุทธศาสตร์ทั้งด้านการทูตและการทหารอย่างระมัดระวัง เพื่อให้บรรลุเป้าเหมายเดียวกัน คือ “การไกล่เกลี่ยในเงื่อนไข หกสิบ-สี่สิบ“ ในสภาวะที่ญี่ปุ่นมีความได้เปรียบ การประสานงานอย่างใกล้ชิดในทุกภาคส่วน ทั้งการวางแผน การปฏิบัติตามแผน การจัดการในการยุทธ์ต่าง ๆ รวมถึงความกล้าหาญของทหารญี่ปุ่น นับเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ญี่ปุ่นประสบความสำเร็จในสงครามครั้งนี้
สำหรับรัสเซียที่ประสบความล้มเหลว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะประมาทขีดความสามารถของญี่ปุ่น และประเมินกำลังอำนาจของตัวเองสูงเกินไป ผู้นำมองว่าเป็นเพียงกิจการระดับท้องถิ่นในภูมิภาคตะวันออกไกล จึงไม่มียุทธศาสตร์ในภาพรวมที่จะรับมือกับญี่ปุ่น โดยประเมินว่าญี่ปุ่นไม่กล้าที่จะรบกับมหาอำนาจรัสเซีย และหากเกิดสงครามขึ้นรัสเซียก็จะใช้กำลังที่เหนือกว่าบดขยี้ญี่ปุ่นได้อย่างง่ายดาย ทว่าญี่ปุ่นกลับรบอย่างเอาเป็นเอาตายในทุกสมรภูมิ โดยเฉพาะใน ๓ สมรภูมิหลัก คือ เลียวหยาง (Liaoyang) ระหว่าง ๓๐ สิงหาคม – ๓ กันยายน ค.ศ.๑๙๐๔ ที่เป็นการรบทางบกครั้งแรก ทหารญี่ปุ่น ๑๓๔,๔๐๐ นาย สามารถเอาชนะทหารรัสเซียประมาณ ๒๒๕,๐๐๐ นาย จนยึดพื้นที่ที่ได้เปรียบไว้ได้ แต่ก็ไม่สามารถติดตามบดขยี้ทหารรัสเซียให้เด็ดขาดได้ เพราะข้อจำกัดทางด้านการส่งกำลังบำรุงและกำลังกองหนุน สมรภูมิที่สอง คือ ชาโฮ (Shaho) ใน ตุลาคม ค.ศ.๑๙๐๔ ซึ่งรัสเซียเป็นฝ่ายทุ่มกำลังเข้าโจมตีญี่ปุ่นด้วยกำลังที่เหนือกว่าอย่างท่วมท้น แต่การต่อสู้อย่างไม่คิดชีวิตของทหารญี่ปุ่นกลับยันให้รัสเซียต้องถอยกลับ ซึ่งหากรัสเซียมีความมุ่งมั่นที่จะบดขยี้ญี่ปุ่นให้ถึงที่สุดโดยไม่คำนึงถึงความสูญเสียของทหารรัสเซียแล้ว ญี่ปุ่นเองก็จะปราชัยได้ เพราะกำลังน้อยกว่ามาก สมรภูมิที่สาม คือ เฮ – กู – ไถ (Hei – Kou – Tai) ใน มกราคม ค.ศ.๑๙๐๕ ซึ่งรัสเซียบุกเข้าโจมตีญี่ปุ่นในห้วงที่กำลังหลบสภาพอากาศหนาวจัด จนทหารญี่ปุ่นระส่ำระสายเกือบตกเป็นฝ่ายปราชัย แต่รัสเซียเองกลับยุติการโจมตีกลางคัน เพียงเพราะความริษยาชิงดีชิงเด่นกันเองระหว่างผู้นำทัพรัสเซีย (พลเอก คูโรแพทคิน (Kuropatkin) ผู้บัญชาการทหารรัสเซียภาคตะวันออก กับ พลเอก กริปเปนเบิร์ก (Grippenberg) ผู้บัญชาการกองทัพที่ ๒
หลังจากประสบการณ์ใน ๓ สมรภูมิดังกล่าว รัสเซียจึงเริ่มหันกลับมาใช้ยุทธศาสตร์ดั้งเดิมของรัสเซีย เมื่อครั้งต่อสู้กับจักพรรดินโปเลียน คือ ถอนกำลังล่อข้าศึกให้รุกลึกเข้าไปในพื้นที่ที่รัสเซียได้เปรียบ แล้วรวมกำลังเข้าตีด้วยกำลังที่เหนือกว่า ซึ่งถ้ารัสเซียดำเนินตามยุทธศาสตร์อย่างเหมาะสม กองทัพญี่ปุ่นในแมนจูเรียก็อาจถูกทำลายอย่างสิ้นซากได้ โดยเฉพาะในการยุทธ์ทางบกครั้งสุดท้ายของสงครามที่มุกเดน (Mukden) เมืองหลวงของแมนจูเรีย ในช่วง กุมภาพันธ์ – มีนาคม ค.ศ.๑๙๐๕ ซึ่งญี่ปุ่นได้รุกเข้ามาจนเกือบสุดสายการส่งกำลังบำรุงแล้ว แต่จากการขาดความมุ่งมั่นในการสู้รบของผู้นำทหารรัสเซีย ขณะที่ญี่ปุ่นต่อสู้อย่างไม่คิดชีวิต ทำให้ญี่ปุ่นสามารถเอาชนะและยึดเมืองหลวงนี้ได้ แต่ก็ถึงกับหมดสภาพเช่นกัน ไม่สามารถตามบดขยี้ทหารรัสเซียต่อไปได้ เพราะขาดทั้งกำลังกองหนุน เครื่องกระสุนและเสบียง (ทหารรัสเซีย ๓๕๐,๐๐๐ สูญเสีย ๙๐,๐๐๐ ทหารญี่ปุ่น ๓๐๐,๐๐๐ สูญเสีย ๗๕,๐๐๐)
อย่างไรก็ตามถึงจะพ่ายแพ้ในการยุทธ์ดังกล่าว แต่ฝ่ายรัสเซียยังคงมีขีดสามารถทำการสู้รบต่อไปได้ และหวังว่าเมื่อกองเรือทะเลบอลติก เดินทางมาถึงและทำลายกองเรือญี่ปุ่นได้ จะสามารถตัดการส่งกำลังบำรุงไปยังกองกำลังทางบกของญี่ปุ่นที่อยู่ในสภาวะคับขันแล้วได้ และจะช่วยให้รัสเซียเป็นฝ่ายมีชัยในที่สุด ดังนั้น เมื่อการณ์ปรากฏว่ายุทธนาวีที่ช่องแคบสึชิมา กองเรือญี่ปุ่นสามารถทำลายกองเรือทะเลบอลติกของรัสเซียลงได้ จึงนำไปสู่การยินยอมให้สหรัฐฯ เข้ามาเป็นผู้ไกล่เกลี่ย และตกลงยุติสงครามได้ ใน ๑ กันยายน ค.ศ.๑๙๐๕ กับบรรลุข้อตกลงตามสนธิสัญญาปอร์ตสมัธ (The Treaty of Porstmouth) ใน ๕ กันยายน ค.ศ.๑๙๐๕ โดยรัสเซียยอมรับสิทธิของญี่ปุ่นในการครอบครองเกาหลี คาบสมุทรเลียวตุง เกาะซาคะลินใต้ และระบบทางรถไฟตอนใต้ของแมนจูเรีย
บทเรียนสำคัญที่ญี่ปุ่นมองว่าส่งผลต่อความสำเร็จในการทำสงครามครั้งนี้ ประกอบด้วย การสร้างความมุ่งมั่นของชาติ (Nation’ s will) ให้คนญี่ปุ่นเห็นพ้องกับการทำสงคราม จากการที่ญี่ปุ่นถูกบีบจาก ๓ มหาอำนาจ โดยเฉพาะรัสเซีย ให้จำต้องสละสิทธิในการครอบครองคาบสมุทรเลียวตุง ซึ่งสร้างความคับแค้นแก่ญี่ปุ่นอย่างยิ่ง บทเรียนต่อมาคือ การกำหนดเป้าประสงค์ที่ชัดเจนและสะท้อนความเป็นจริง ซึ่งได้แก่ การปกป้องอธิปไตยของญี่ปุ่นและการบรรลุเงื่อนไขที่ได้เปรียบ (๖๐ – ๔๐)
ต่อกรณีปัญหารัสเซีย เมื่อเป้าประสงค์ชัดเจนและมีความเป็นไปได้ การวางแผนยุทธศาสตร์ทั้งด้านการทูตและการทหารก็มีทิศทางที่แน่นอน และง่ายต่อการปฏิบัติของทุกภาคส่วน บทเรียนที่สามคือการเลือกพันธมิตรอย่างระมัดระวัง การเลือกอังกฤษเป็นพันธมิตรในครั้งนี้ส่งผลให้ญี่ปุ่นสามารถพัฒนากำลังรบขึ้นมาทัดเทียมกับรัสเซียได้ ทั้งการได้เทคโนโลยีจากอังกฤษโดยตรงและการได้เครดิตด้านการเงินจากประเทศอื่น ๆ รวมถึงการสร้างความยากลำบากแก่รัสเซียในการสนับสนุนการส่งกำลังบำรุงระหว่างการเดินทางของกองเรือทะเลบอลติกด้วย บทเรียนที่สี่ คือการเตรียมกำลังให้พร้อมและเพียงพอที่จะเผชิญหน้ากับข้าศึก เพราะหากไม่มีกำลังเข้มแข็งพอในสถานการณ์ ที่ต้องประจันหน้ากันแล้ว ก็จะไม่สามารถเดินตามแนวคิดทางยุทธศาสตร์ได้ บทเรียนที่ห้าคือ คุณค่าของข่าวกรอง
ในครั้งนี้ญี่ปุ่นได้ทุ่มเทความพยายามให้กับการข่าวกรองเป็นอย่างมาก และได้ใช้ประโยชน์ในการวางแผนสงครามจนถึงการปฎิบัติจริงทางยุทธการด้วย บทเรียนที่หกคือ การบ่อนทำลายเพื่อสร้างความระส่ำระสายในประเทศข้าศึก ซึ่งครั้งนี้ญี่ปุ่นใช้การสนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่มปฏิวัติต่อต้านรัฐบาลของซาร์นิโคลัสอย่างได้ผล บทเรียนที่เจ็ด คือความร่วมมือที่แนบแน่นระหว่างทหารบกกับทหารเรือ โดยเฉพาะในการยุทธ์ที่ฝ่ายญี่ปุ่นประสบชัยชนะที่ปอร์ตอาเธอร์ และ บทเรียนสุดท้ายคือ ต้องรู้ว่าเมื่อไรควรยุติ การที่ญี่ปุ่นวางแผนเตรียมการยุติสงครามไว้ล่วงหน้า ทำให้สามารถแสวงประโยชน์จากความได้เปรียบในสงครามได้อย่างเต็มที่…………………….
วิเคราะห์บทเรียนในสภาวะแวดล้อมของไทย
ญี่ปุ่นวิเคราะห์บทเรียนความสำเร็จในสงครามญี่ปุ่น-รัสเซียเปรียบเทียบกับความล้มเหลวในสงครามโลกครั้งที่สองที่ญี่ปุ่นรบกับฝ่ายสัมพันธมิตรที่มีสหรัฐฯ เป็นผู้นำ แล้วชี้ว่าบทเรียนทั้ง ๘ ประเด็น ญี่ปุ่นสอบไม่ผ่าน
ในสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงน่าสนใจว่าหากนำมาใช้วิเคราะห์ในสภาวะแวดล้อมของไทยจะมีส่วนช่วยในการประเมินศักยภาพและความเสี่ยง เป็นดัชนีบ่งชี้สิ่งที่จะต้องปรับปรุงหรือพัฒนาได้หรือไม่ แน่นอนว่าปัจจัยที่นำมาซึ่งความสำเร็จและความล้มเหลวมีอีกมากมาย การจะฟันธงว่าจัดการทั้ง ๘ ประเด็นไม่ดีจะนำไปสู่ความพ่ายแพ้สงคราม คงเป็นเรื่องที่โต้แย้งกันได้ในอีกหลายแง่มุม อย่างไรก็ตามหากวิเคราะห์ควบคู่กับแนวคิดหรือหลักการทำสงครามของนักยุทธศาสตร์และนักการทหารในอดีตจนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่ ซุนวู เคลาส์วิตซ์ จนถึงหลักนิยมมาตรฐานของกองทัพมหาอำนาจ จะเห็นว่าประเด็นที่ญี่ปุ่นจับเป็นบทเรียนนั้น ส่วนใหญ่ก็สอดคล้องกันและเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จของสงคราม จึงอาจสามารถจัดเป็นกรอบในการประเมินศักยภาพและความเสี่ยงได้
สภาวะแวดล้อมของไทยในปัจจุบัน นักยุทธศาสตร์แทบทุกสำนักเห็นพ้องกันว่าภัยคุกคามทางทหารจาก ภายนอกไม่ชัดเจน และไทยก็ไม่มียุทธศาสตร์ที่จะใช้สงครามเป็นเครื่องมือในการแย่งชิงผลประโยชน์กับประเทศใด ๆ เพียงแต่ไทยกำลังเผชิญกับปัญหาการก่อการร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีเป้าหมายเพื่อการแบ่งแยกดินแดน และมีทีท่าว่าจะยืดเยื้อต่อไป แม้หลายฝ่ายจะมองว่าอาจยุติลงได้ด้วยการเจรจาและผ่อนปรนให้เป็นเขตปกครองพิเศษทางด้านวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ แต่จากสภาพการณ์ที่กลุ่มก่อความไม่สงบทั้งหลายยังไม่มีผู้นำที่ชัดเจน การเจรจาเงื่อนไขต่าง ๆ คงเป็นไปได้ยาก ซึ่งหากมองสถานการณ์นี้เป็นสภาวะสงคราม แล้วใช้บทเรียนจากสงคราม ญี่ปุ่น – รัสเซีย มาวิเคราะห์การดำเนินการที่ผ่านมา ก็อาจเห็นสิ่งบ่งชี้ที่สำคัญบางประการที่ควรนำไปพิจารณาปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการต่อสู้กับกลุ่มก่อความไม่สงบดังกล่าว
- ประเด็นแรก ความมุ่งมั่นและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนไทย ในการที่จะทำสงครามกับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนเหล่านี้ ดูเหมือนว่าคนไทยทุกคนอยากเห็นปัญหายุติ แต่ในทางปฏิบัติการ สนับสนุนการปราบปราม (การทำสงคราม) ยังขาดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน บ้างก็อยากให้ยึดแนวทางสันติ บ้างก็เห็นอกเห็นใจฝ่ายตรงข้าม เป็นต้น จึงเป็นเรื่องที่น่าคิดว่าควรจะดำเนินการอะไรเพื่อให้บรรลุความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนไทยหรือไม่
- ประเด็นต่อมา เรื่องการกำหนดเป้าประสงค์ที่ชัดเจนและสะท้อนความเป็นจริง จนถึงปัจจุบัน ภาพที่ต้องการให้เป็นในขั้นสุดท้าย ก็ยังคงคลุมเครือไม่มีใครกล้าฟันธงว่าจะต้องเอาชนะให้ราบคาบ หรือจะประนีประนอมภายใต้เงื่อนไขใด สภาพการณ์จึงเป็นว่าเราแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและเป็นฝ่ายตั้งรับจากการริเริ่มของผ่ายตรงข้ามตลอดมา ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามนั้นมีการวิเคราะห์ว่า ได้กำหนดเป้าหมายสุดท้ายไว้ชัดเจนว่าต้องการเป็นรัฐอิสระปกครองตนเอง โดยเล็งเป้าหมาย ของการเป็นเขตอิสระทางวัฒนธรรมไว้ในเบื้องต้นก่อน (ข้อมูลจากการบรรยายพิเศษ ณ สรส. เมื่อ ๒๒ มีนาคม พ.ศ.๒๕๔๙ โดย พล.ท.สุรพล เผื่อนอัยกา รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ) ประเด็นนี้จึงน่าที่จะพอประเมินเปรียบเทียบกันได้ว่า ยุทธศาสตร์ที่ตามมาของฝ่ายใดจะมีแนวทางที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพมากกว่ากัน
- ประเด็นที่สาม การเลือกพันธมิตรอย่างระมัดระวัง ในสงครามทั้งปวง สิ่งที่คู่สงครามพึงตระหนัก คือพันธมิตรจะมีส่วนช่วยเพิ่มความได้เปรียบและลดจุดอ่อนในการต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามได้ ซึ่งญี่ปุ่นแสวงประโยชน์มาแล้วจากสงครามญี่ปุ่น – รัสเซีย ในกรณีเหตุการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ภาพของพันธมิตรอาจไม่ชัด แต่แนวร่วม ทั้งภายในประเทศและจากต่างประเทศ โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ น่าจะเป็นเป้าหมายหลักที่ทั้งสองฝ่ายพยายามแย่งชิงมาเป็นพันธมิตรหรือแนวร่วม ความสำเร็จในเรื่องนี้นับเป็นประเด็นสำคัญของผลการต่อสู้เพื่อบรรลุเป้าหมายสุดท้ายที่ไม่ควรละเลยทีเดียว
- ประเด็นที่สี่ การเตรียมกำลังให้พร้อมและเพียงพอที่จะเผชิญหน้ากับข้าศึก ในกรณีภาคใต้ของไทย ดูเหมือนว่าเราจะตกที่นั่งเดียวกับรัสเซีย คือประมาทและไม่เชื่อว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีศักยภาพที่จะต่อกรด้วยได้ จึงไม่มี การเตรียมการอะไรเป็นพิเศษ ไม่มียุทธศาสตร์ที่จะต่อสู้เพื่อเอาชนะ การเตรียมกำลังจึงขาดทิศทาง ในทางยุทธวิธี ก็เป็นรองเพราะเป็นฝ่ายต้องคอยรับมือกับสถานการณ์ที่ฝ่ายตรงข้ามริเริ่มและสร้างปัญหา ทำให้การเตรียมกำลังและใช้กำลังของฝ่ายเราไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
- ประเด็นที่ห้า คุณค่าของข่าวกรอง ทุกฝ่ายทราบดีว่าข่าวกรองเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการต่อสู้และเอาชนะฝ่ายตรงข้าม ที่ผ่านมาดูเหมือนจะมีความเห็นสอดคล้องตรงกันในเรื่องนี้ ว่าการข่าวของฝ่ายเราไม่มีประสิทธิภาพ แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่เห็นการทุ่มเทให้คุณค่าความสำคัญของการพัฒนาประสิทธิภาพงานด้านการข่าวที่เป็นรูปธรรมชัดเจน คงพอจะคาดเดาได้ว่าผลสำเร็จของการต่อสู้ในพื้นที่ ซึ่งฝ่ายตรงข้ามเป็นฝ่ายริเริ่มทั้งเป้าหมายและวิธีการ จะคาดหวังได้มากน้อยเพียงใด
- สำหรับประเด็นที่หก การบ่อนทำลายเพื่อสร้างความระส่ำระสายให้กับฝ่ายตรงข้ามนั้น ผลที่ต้องการคือการบั่นทอนความมุ่งมั่นในการสู้รบ อันเป็นเป้าหมายของการปฏิบัติการจิตวิทยานั่นเอง ในเรื่องนี้ถ้าจะเปรียบเทียบความสำเร็จของการปฏิบัติการจิตวิทยาเพื่อสร้างความระส่ำระสาย เกิดความท้อแท้ ขาดขวัญ หมดกำลังใจที่จะสู้รบแล้ว คงตอบได้ไม่ยากว่าฝ่ายไหนทำได้ดีกว่ากัน การปฏิบัติการจิตวิทยาต่อฝ่ายตรงข้าม น่าจะเป็นสิ่งที่ต้องวิเคราะห์วางแผนดำเนินการอย่างจริงจัง มิใช่เพียงแค่ปฏิบัติการจิตวิทยาต่อฝ่ายเรากันเอง ด้วยการนำสิ่งของไปมอบให้และนำการแสดงไปให้ความบันเทิงเป็นหลักอย่างที่ทำอยู่ปัจจุบัน
ในส่วนของความร่วมมือระหว่างหน่วยกำลังต่างเหล่าที่ปฏิบัติการในพื้นที่ อันเป็นประเด็นที่เจ็ด ที่ญี่ปุ่นมองว่าส่งผลต่อความสำเร็จในสงครามญี่ปุ่น – รัสเซียนั้น ถือเป็นปัจจัยสำคัญในสงครามยุคใหม่ที่เน้นการปฏิบัติการร่วมเป็นหลัก ในกรณีภาคใต้ของไทยที่มีการแบ่งมอบพื้นที่ความรับผิดชอบส่วนหนึ่งให้กับหน่วยนาวิกโยธินของ กองทัพเรือ และในแต่ละพื้นที่ก็ยังมีกำลังจากหลายหน่วยงานปฏิบัติการร่วมกัน ความร่วมมือและการประสานงาน ที่แนบแน่นนับเป็นปัจจัยสำคัญอย่างไม่ต้องสงสัย เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ควรจะต้องทบทวนและประเมินการปฏิบัติที่ผ่านมาและให้คุณค่าความสำคัญ
ประเด็นสุดท้าย การรู้ว่าเมื่อไรควรยุติ แน่นอนว่าจะต้องรู้ว่าสิ่งที่ต้องการขั้นสุดท้ายคืออะไรก่อน จะได้เป็นเป้าหมายในการเดินเกมวางแผนเตรียมการยุติสงครามไว้ล่วงหน้า ต้องตัดสินใจในห้วงจังหวะอันเหมาะสมที่จะสามารถแสวงประโยชน์จากผลลัพธ์ของการปฎิบัติการทางทหารในพื้นที่ ต่อกรณีสถานการณ์ภาคใต้ของไทยคงคาดหวังได้ยากเพราะประการแรกเรายังไม่ชัดเจนว่า ผลลัพธ์สุดท้าย (End State) ที่ต้องการมีขอบเขตอย่างไร การจะเอาชนะเด็ดขาดในการต่อสู้ทางทหารคงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากมิใช่สงครามตามรูปแบบ หากจะยุติด้วยการเจรจาก็จำเป็นต้องสร้างสภาวะแวดล้อมให้มีเงื่อนไขที่จะได้เปรียบในการเจรจาก่อน จังหวะเวลาของการยุติสงครามจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบอีกประเด็นหนึ่ง หากยุติในจังหวะที่สถานการณ์เป็นรอง ก็เชื่อได้ว่าผลประโยชน์สำคัญยิ่งของชาติอาจต้องถูกแบ่งปันไปอย่างที่ไม่ควรจะเป็น
สอยอีกหนึ่ง นายพลเขมรร่วง อีกราย
"อาหารบ้าน ๆ ที่คนต่างชาติหลงรัก แต่คนไทยมองว่าเป็นอาหาร “ธรรมดา”" มันเป็นเพราะอะไรกันนะ
อาเซียนเนื้อหอม! เจาะเหตุผลทำไม บังกลาเทศ-ปาปัวนิวกินี-ฟิจิ อยากเข้าใกล้ครอบครัวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เขมรไม่มีคิดหยุด แต่คิดว่าจะรบไทยให้ชนะด้วย F-35 ได้อย่างไรในอนาคต
สูตรคำนวณงวด 2/1/69
"สาละ" ดอกไม้ในตำนานเกี่ยวกับพุทธประวัติของพระมหาศาสดาของศาสนาพุทธ (สาละในหลวงพระบาง)
จักรวาลร่วมฉลองส่งท้ายปี! NASA อวดโฉม "ต้นคริสต์มาสยักษ์" แห่งห้วงอวกาศลึก 2,500 ปีแสง
รีวิวหนังดัง SURROGATES คนอึดฝ่านรกโคลนนิ่ง
ย้อนชะตากรรม "ขันทีหัวใจพระโพธิสัตว์" ยอมแก้ราชโองการเพียงหนึ่งคำ เพื่อรักษาชีวิตคนนับพัน
เจาะลึกลำดับเหตุการณ์โศกนาฏกรรมซาวน่าญี่ปุ่น เมื่อพื้นที่ส่วนตัวกลายเป็นกับดักมรณะ
ลุกขึ้นไได้...ก็ชนะ
ทำไมคนค้าขายสินค้าที่ผิดศีลธรรมจึงร่ำรวย?
สอยอีกหนึ่ง นายพลเขมรร่วง อีกราย
โฆษก "ฮุนเซน" โม้หนัก!! เคยผ่านการรบมาแล้วนับ 100 ครั้ง!!
อาเซียนเนื้อหอม! เจาะเหตุผลทำไม บังกลาเทศ-ปาปัวนิวกินี-ฟิจิ อยากเข้าใกล้ครอบครัวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เขมรไม่มีคิดหยุด แต่คิดว่าจะรบไทยให้ชนะด้วย F-35 ได้อย่างไรในอนาคต
ด่วน! แก๊งสแกมเมอร์จีน–กัมพูชาแตกฮือ ปอยเปตอลหม่าน หลังทหารกัมพูชายึดอาคารใช้เป็นฐานทหาร ตกเป็นเป้าการสู้รบชายแดน
ย้อนชะตากรรม "ขันทีหัวใจพระโพธิสัตว์" ยอมแก้ราชโองการเพียงหนึ่งคำ เพื่อรักษาชีวิตคนนับพัน













