พูดไปสองไพเบี้ย!! ภาพเงินตราจากสมัยอยุธยา เทียบมูลค่าปัจจุบันในสำนวน
สำนวนนี้อาจไม่ใช่สำนวนโบราณมาก แต่เบี้ยในสำนวนนั้น โบราณกว่ามากมายนับร้อย นับพันปี
พูดไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะนิ่งเสียมีประโยชน์มากกว่า หนึ่งล้านสามแสนเท่า สำหรับบางคน บางกรณี
หมายเหตุ- อัตราส่วน 1:1,344,000 เท่า
#เบี้ย #หน่วยเงินที่ชาวบ้านในกรุงศรีอยุธยามีใช้
จากทะเลมาเป็นเงิน จากเงินมาเป็นสำนวน
เราได้ยินสำนวนเก่าคำว่า พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง มานานนม หลายคนเกิดความสงสัยในสำนวนว่าแปลว่าอะไรกันแน่ คือพูดไปได้สองไพ หรือนิ่งแล้วเสียตำลึงทอง จริงๆ แล้วสำนวนนี้ หากเว้นวรรคตอนให้ง่ายๆ หมายถึง พูดไป: สองไพเบี้ย, นิ่งเสีย: ตำลึงทอง กล่าวคือ ถ้าพูดในเรื่องไม่ควรพูด หรือพูดกับคนที่ไม่รับฟัง ไม่มีประโยชน์ในการพูด พูดไปแล้วประโยชน์ที่เกิดขึ้นที่จะได้รับ ก็ประมาณ 2 ไพเบี้ย หากว่านิ่งเสีย ไม่พูด (เพราะพูดก็ไม่เกิดประโยชน์ใด) ยังมีค่ามากกว่าพูดไป เปรียบเทียบแล้วไม่พูดก็เสมือนได้หนึ่งตำลึงทอง
ทราบกันไหมว่า 1 ไพมีมูลค่าเท่ากับกี่บาทในปัจจุบัน และไพเบี้ย นี่เท่ากับกี่เบี้ย หนึ่งไพคือกี่เบี้ย และหนึ่งเบี้ยมูลค่าเท่ากับกี่บาท เหตุใด การพูดไปแต่ไร้ประโยชน์จึงถูกตีค่าเพียง 2 ไพเบี้ย เมื่อเทียบกับตำลึงทองเมื่อนิ่งไว้ ตำลึงทอง เทียบไม่ยากนัก เพราะหนึ่งตำลึงเท่ากับ 4 บาท หากเปรียบเทียบมูลค่าทองน้ำหนักทอง 4 บาท นั้นก็คำนวณมูลค่าปัจจุบันได้ไม่ยากเลย อยากรู้คำตอบ ลองกดดูภาพด้านล่างไปจนถึงภาพสุดท้ายจะได้รับคำตอบว่า บางครั้งทำไมเงียบเสียดีกว่า หากพูดไปแล้วก็ไม่เกิดประโยชน์ใด เพราะมูลค่ามันช่างต่างกันเหลือเกิน
#เบี้ยในระบบเศรษฐกิจโลก
เราอาจนึกไม่ถึงว่า หอยเบี้ยที่ใช้กันในระบบเศรษฐกิจสมัยโบราณ ปรากฎในตำนานและพงศาวดารมากมาย รวมทั้งในจดหมายเหตุ และหลายคนก็ยังได้เห็นของจริงกันมาแล้ว เช่น ในเรื่องราชาธิราช ที่เป็นเรื่องแปลจากพงศาวดารมอญในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ มะกะโทก็ได้รับเบี้ยที่ฝังในดินจากการบ้วนพระสลาหรือชานหมากของพระร่วงไปกระทบ ในอยุธยาปรากฎท่าเรือชื่อว่า ท่าสิบเบี้ย ซึ่งหมายถึงราคาค่าโดยสารเรือแจวข้ามไปข้ามมาตรงท่านั้น พื้นที่เก่าแก่ในจังหวัดสุพรรณบุรี ก็ยังมีชื่อเช่นนี้อยู่
ในจดหมายเหตุของ หม่าฮวน ซึ่งเป็นอาลักษณ์ของกองเรือรบขนาดยักษ์ของนายพลเรือขันทีมุสลิม เจิ้งเหอ อันเกรียงไกร (เจ้าของตำนาน เจ้าแม่สร้อยดอกหมาก ซำปอกง และ ปุนเถ้ากง) เข้ามาเมืองไทยเมื่อราว 600 ปีที่ผ่านมาในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นก็บันทึกไว้ว่าในสมัยสมเด็จพระอินทราชา (พระองค์มีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับจีนอย่างดียิ่ง) คนไทยก็ใช้เบี้ยเหมือนกับในยูนนาน (ในทางกลับกันนักประวัติศาสตร์ให้ความเห็นว่าชาวยูนนานใช้เบี้ยด้วยอิทธิพลการค้าจากไทยและพม่า และใช้มาก่อนการเข้ามาของชาวจีนในราชวงศ์หมิงในยูนนาน) และหากพิจารณาลึกลงไปนักโบราณคดีพบว่ามีการใช้เบี้ยมาก่อนนับพันปี ตั้งแต่เป็นของตกแต่งร่างกาย เครื่องประดับ ก่อนการเกิดขึ้นของระบบเงินทั้งภูมิภาคนี้ และชาวยูนนาน เมื่อมีการยืมเงินที่ทำมาจาก Silver (เงิน) ระหว่างยังไม่คืนเงินต้น ก็จะเอาเงินย่อยเป็นดอกที่ทำจากหอยเบี้ย ไปคืน = ดอกเบี้ย
#เบี้ยในสำนวนไทย
สำนวนไทยเก่าแก่ มีคำว่าเบี้ยใช้มากมาย เช่น พูดไปสองไพเบี้ย ขายหน้าวันละห้าเบี้ย สิบเบี้ยใกล้มือ หัวล้านหัวเหลือง หัวละเฟื้องสองไพ คำว่าเบี้ยจำนวนมากหายไปจากคำไทยในชีวิตประจำวัน เช่น เจ้าเบี้ย ซึ่งหมายถึงเจ้าหนี้ หัวเบี้ย หรือ คนทำหน้าที่จัดการในบ่อนพนัน แต่สำนวนพื้นถิ่นบางพื้นที่ยังมีคำว่าเบี้ยอยู่ เช่น หม้ายเบี้ย ของทางภาคใต้ แปลว่าไม่มีเงิน (หม้าย-ไร้) และโดยทั้วไปคำว่าเบี้ย ได้เปลี่ยนหน้าที่มาแทนหน่วยเงิน
แต่กลับเป็นความหมายเกี่ยวกับเงินในแง่ค่าธรรมเนียม หรือ จำนวนเงินย่อยๆ ที่จ่ายเป็นครั้งๆ เช่น เบี้ยประกัน เบี้ยปรับ เบี้ยหวัด-บำนาญ เบี้ยเลี้ยง เบี้ยบ้ายรายทาง เบี้ยขยัน และที่คุ้นเคยที่สุด ดอกเบี้ย ซึ่งสำนวนเก่าๆ มีผู้พูดว่า ดอกเบี้ย ดอกหอย หรือแม้กระทั่งสำนวนว่า ขายหน้าวันละห้าเบี้ย ก็หมายถึงขายหน้าทุกๆ วัน เสมือนดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายเป็นวันๆ ไปเช่นกัน
#จากทะเลมาเป็นเงินได้อย่างไร
หอยเบี้ยเป็นหอยสกุลหนึ่ง ชื่อเดิมยากที่จะเดา เพราะทุกชื่อของหอยสกุลนี้ ทั้งชื่อวิทยาศาสตร์และชื่อในภาษาอังกฤษที่ใช้กันมานับร้อยๆ ปี (ที่มาจากภาษาอินเดียโบราณ) ต่างมีความหมาย เท่ากับคำว่าเงินทั้งสิ้น ชื่อละตินคือ Monetaria moneta ซึ่งมีคำว่าเงินทั้งสองคำ ทั้งชื่อ ทั้งสกุล ส่วนภาษาอังกฤษใช้คำว่า Cowrie มาจากคำว่า กาวดี ในภาษาฮินดี และรากศัพท์มาจากสันสกฤตอีกชั้นหนึ่ง
ที่เราใช้กันเป็นเงินเป็นหอยเบี้ยชนิดสีขาวนวลเรียกว่าเบี้ยจั่น (ตัวป้อมๆ เหมือนจั๊กจั่น) สีขาวนี้เหมือนกับสีเครื่องจานชามเคลือบ (เพราะคำว่า พอร์ชเลน ในภาษาอังกฤษก็มาจากชื่อหอยนี้ในภาษาอิตาเลียน) แต่จริงๆ มีอีกหลายสกุล หลายชนิดที่ใช้ ไม่ได้มีแต่พันธุ์สีขาวนวล
เบี้ยมีมากที่หมู่เกาะใกล้ๆ ลังกา และที่มากสุดคือมัลดีฟ เบี้ยยังมาจากแถบอาฟริกา อินเดียตะวันตก และบอร์เนียวอีกด้วย จึงมีการใช้เงินเบี้ยกันทั้งภูมิภาคข้ามทวีปไปทั่วตราบใดที่การค้าไปถึง สมัยโบราณพ่อค้าอาหรับแวะอินเดียก็ซื้อหอยทะเลนี้มาขายต่อในแถบพม่า ไทย และใช้กับทั่วไปจนถึงยูนนานแทนหน่วยเงินแลกเปลี่ยนขนาดเล็ก เป็นเงินย่อย เสมือนเหรียญที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
เพราะใช้ง่าย หาง่ายกว่าเงินเหรียญโลหะที่ต้องขึ้นรูปและมีเครื่องพิมพ์นูนซึ่งทำยากกว่าและมีมูลค่าสูงกว่าจึงใช้เป็นเงินที่มีมูลค่าสูงแม้จะมีใช้มาอย่างเก่าแก่กว่าพันปีเช่นกัน จริงๆ เงินทำมาจากโลหะหลายอย่าง ส่วนเบี้ยมาจากหอย แต่บางช่วงเวลาหอยหายาก ก็เคยผลิตจากดินเผาก็มี แต่เรียกว่าประกับ ทำจากดินเผาทรงกลมคล้ายเหรียญในยุคปัจจุบัน
#เบี้ยไม่เคยไปไหน
เบี้ยน่าจะใช้มาก่อนสมัยอยุธยา และในสุโขทัยในเรื่องพระร่วงก็ปรากฎในพงศาวดารอย่างที่ทราบ ในยุคอยุธยาจึงมีเบี้ยใช้กันอย่างแพร่หลาย และไม่ใช่เงินที่มีมูลค่ามากมาย สำนวนเกี่ยวกับเบี้ย จึงมักเป็นสำนวนที่แสดงมูลค่าน้อย และค่อยๆ หายไปพร้อมกับการใช้หอยเบี้ย และการเกิดเหรียญกษาปณ์ (จริงๆ คำว่า กษาปณ์ แปลว่า 1 ตำลึง) แต่ในสมัยอยุธยาเหรียญโลหะ ที่มีมูลค่าสูงเช่น เงินพดด้วงก็มีใช้กันทั่ว ในหมู่ผู้มีเงินทองเช่นกัน และคำว่า "เงิน" ก็เข้ามาแทนที่ในฐานะชื่อเรียกอัตราแลกเปลี่ยน และหน่วยนับเงินตรา
เมื่อเงินค่อยๆ มีมูลค่าสูงขึ้น เบี้ยไม่อาจแทนค่าเงินตราได้อีกต่อไป เพราะมูลค่าน้อยเกินไป 100 เบี้ยจึงเท่ากับเพียง 1 อัฐ (สำนวน ไม่กี่อัฐ) แต่เดิม 1 อัฐ มีมูลค่าสูง แล้วค่อยๆ ลดลงไปเรื่อยๆ และจำนวนหน่วยเดิมของเรา ไม่ใช่ฐาน 100 แต่เป็นฐาน 4 คือ แบ่งจาก 1 ตำลึง เป็นบาท จากบาทแบ่งย่อยๆ ลงเรื่อยๆ เป็นฐาน 16 และย่อยลงไปอีก เพราะเราใช้ระบบเดียวกับอินเดียในสมัยพุทธกาล
คำว่าเบี้ย หายไปจากระบบการเงินในฐานะหน่วยเงิน แต่ไม่ได้หายไปจากชีวิตประจำวันเลยสักนิด ยังมีสำนวน และยังมีชื่อปรากฎในเรื่องการเงินอื่นๆ และยังอยู่ในชีวิตของทุกคน
อ้างอิงจาก: https://www.facebook.com/groups/weloveoldphoto
https://www.facebook.com/tooplaacademy/posts/121153689352916