ตะลึง อียิปต์เพิ่งขุดพบ 30 โลงศพมัมมี่อายุราว 3 พันปี
วันที่ 21 ตุลาคม 2562 สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่า เจ้าหน้าที่จากกระทรวงโบราณของอียิปต์ ได้เผยผลงานการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ กับการขุดพบโลงศพไม้โบราณ อายุกว่า 3,000 ปี จำนวน 30 โลง ที่มีมัมมี่อยู่ภายใน ซึ่งนับเป็นการขุดพบครั้งใหญ่ที่สุดในรอบศตวรรษ อีกทั้งยังเป็นการขุดพบมัมมี่ครั้งแรกที่ดำเนินการโดยนักโบราณคดีชาวอียิปต์
ด้าน มุสตาฟา วาซาริ เลขาธิการสภาโบราณสถานแห่งอียิปต์ เผยกับสื่อว่า การขุดพบครั้งก่อนที่เกิดขึ้นในปี 2434 เป็นภารกิจที่นำทีมโดยนักโบราณคดีต่างชาติ แม้แต่การขุดพบในปี 2424 ก็เป็นภารกิจของชาวต่างชาติเช่นกัน แต่ในปี 2562 คือการค้นพบของชาวอียิปต์เอง ซึ่งนี่เป็นความรู้สึกที่เขายากจะบรรยายออกมาได้
โดยโลงศพโบราณเหล่านี้ ถูกขุดพบภายในสุสาน Al-Asasif Cemetery ของเมืองลักซอร์ ทางตอนใต้ของอียิปต์ ภายหลังนักโบราณคดีสังเกตเห็นว่ามีโลงศพโผล่บางส่วนออกมาให้เห็นจากผืนทราย ซึ่งผลจากการขุดค้นนักโบราณคดีก็พบโลงศพโบราณจำนวน 30 โลง ที่ถูกปิดผนึกและวางซ้อนทับกันเป็น 2 ชั้น ฝังลงไปใต้ทรายราว 1 เมตร
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบนักโบราณคดีพบว่า โลงศพเหล่านี้บรรจุร่างมัมมี่ทั้งเพศชายและเพศหญิง และยังมีโลงบรรจุมัมมี่เด็กอีก 2 โลง แม้ว่ามัมมี่จะถูกห่อหุ้มด้วยผ้า แต่นักโบราณคดียังสามารถระบุเพศของมัมมี่ได้ จากลายของมือที่ถูกแกะสลักอยู่บนโลง และคาดว่ามัมมี่เหล่านี้เป็นชาวอียิปต์โบราณที่อยู่ในชนชั้นกลาง
ในส่วนของตัวโลงไม้ถูกเก็บรักษาไว้ในสภาพดี ทำให้ยังคงสีสันสดใสไว้ได้ สำหรับสีที่ใช้พบว่าเป็นสีจากธรรมชาติซึ่งได้มาจากหินผสมกับไข่ขาว และทาทับด้วยไข่แดงผสมเทียนขี้ผึ้งเพื่อให้เกิดความเงางามและยังเห็นสีสันที่ทาลงไป บางโลงยังพบว่ามีการสลักชื่อของผู้ตายไว้ด้วย
ทางด้าน ซาฮี ฮาวัสส์ นักโบราณคดี เผยว่า การพบโลงศพมัมมี่เด็กนั้นหาได้ยากยิ่ง การขุดพบครั้งนี้ที่เจอโลงมัมมี่เด็กถึง 2 โลง จึงยิ่งดึงดูดความสนใจจากทั่วโลก นอกจากนี้การขุดพบครั้งนี้ยังเผยให้เห็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญ เกี่ยวกับการฝังศพชาวอียิปต์โบราณ สะท้อนให้เห็นว่าพวกเขาให้ความเคารพต่อผู้ตาย โดยไม่คำนึงถึงเพศและอายุ ซึ่งนับเป็นสิ่งที่จะช่วยเพิ่มพูนความรู้ของนักอียิปต์วิทยา เกี่ยวกับเรื่องความเชื่อในโลกหลังความตายของพวกเขา
อนึ่ง โลงศพไม้เหล่านี้จะถูกเคลื่อนย้ายไปพิพิธภัณฑ์อียิปต์แกรนด์ ซึ่งจะมีการจัดแสดงในช่วงสิ้นปีหน้า ขณะที่มัมมี่ภายในโลงจะถูกย้ายไปเก็บรักษายังพิพิธภัณฑ์ใกล้มหาพีระมิดแห่งกีซาต่อไป