ชีวิตจริงของสาวไร้ผม!! ที่โดนล้อมาทั้งชีวิต!! กับการรีวิว ใส่วิกแบบเนียนๆ เปลี่ยนสาวไร้ผม เป็นสาวแบ๊วน่ารัก
สมาชิกพันทิปหมายเลข 5510940 หรือคุณเซ็นต้าร์ ที่เธอ ป่วย แพ้สารเคมีบางอย่าง ผมจึงร่วงเป็นหย่อมๆ ได้ตั้งกระทู้ รีวิว ใส่วิกแบบเนียนๆ จากชีวิตจริงของผู้หญิงไร้ผม มีรายละเอียดว่า
สวัสดี เพื่อนทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ อันนี้เป็นกระทู้แรกของเรา ตั้งใจมาแชร์ประสบการณ์ใส่วิก เคล็ดลับใส่วิกให้เนียน
วิกที่เราจะใช้รีวิว คือวิกมีหนังศีรษะเทียม
ใส่และถอดง่าย ต่างจากวิกทอมือ ราคาเลยถูกลงมาหน่อย ค่ะ
อยากให้ความรู้กับผู้ที่ใส่วิก และตั้งใจทำเพื่อผู้ป่วย อยากจะ คัดสรร วิกดีๆ ร้านดีๆ ราคาไม่แพง มาแนะนำ เพราะเข้าใจว่า แค่ค่ารักษาพยาบาลมันก็แพงแล้ว แต่ยังต้องซื้อวิกใส่อีก ถ้าแพงคงไม่ไหว เราเลยจะทำคลิปขึ้นมารีวิว วิก เรื่อยๆ
เราเจอร้านนี้ มา เขามีส่วนลดให้กับผู้ป่วยมะเร็ง และคนที่มีปัญหากับเส้นผม
เราเป็นคนนึงที่ป่วย และเคยมีภาวะซึมเศร้า ถึงขึ้นฆ่าตัวตาย ซึ่งสิ่งที่เราจะพิมพ์ลงวันนี้ เราอยากให้กำลังใจ ผู้ป่วย ที่ท้อแท้ สิ้นหวัง คิดสั้น เปลี่ยนเป็นพลังบวก มีทัศนคติที่ดี มีความหวัง และใช้ชีวิตได้อยากมีความสุข เราผ่านจุดนั้นมาได้ เราอยากแชร์ต่อค่ะ
ตอนนี้เรา อายุ22ปี เราเป็นคนโคราช อำเภอพิมาย โตมาจากบ้านนอก หน้าบ้านของเราเป็น ทุ่งนา เลยค่ะ ตอนเราเป็นเด็กพ่อแม่มีตัง เปิดร้านขายของชำในหมู่บ้าน และพ่อเปิดร้านซ่อมรถ แต่พอโตมากิจการแย่ลง แล้วก็มามีหนี้สินจากการ รักษาเราด้วย
เราป่วย แพ้สารเคมีบางอย่าง ผมจึงร่วงเป็นหย่อมๆ ขี้เหร่ ดั้งไม่มี หัวล้านแบบสะท้อนแสงได้เลย ตัวเตี้ย ผิวคล้ำ
เป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็กแล้ว เราก็ใช้ชีวิตแบบนี้มาตลอด นี้เป็นเรื่องย่อๆที่มาเล่านะคะ
้เราเริ่มป่วยตั้งแต่ป.2-ม.6
วัย ประถมเราก็ร่าเริง เหมือนเด็กคนอื่นๆ โดนล้อบ้าง ก็ขำๆ ไม่เครียด
ก็มีเหตุการณ์ที่เราจำ จนทุกวันนี้เหมือนกันค่ะ มีคนเลยแนะนำว่า ให้โกนผมให้เรา แม่เราเลยพาเราไปโกนผม บอกว่า จะมีวิกให้ใส่ พอโกนเสร็จก็ไม่มีวิกให้ เราไปรร.ด้วยใส่หมวกไป เราโดนรุ่นพี่ผู้หญิง2คนแกล้ง ถอดหมวก เราก็โมโห และอาย เลยไปฟ้องครู "แต่ครูก็ว่าเราใส่หมวกทำไมล่ะ ถ้าเธอไม่ใส่หมวกเขาก็ไม่แกล้ง" กลายเป็นเราผิด แต่เราไม่โกรธครูท่านนี้นะ เพราะเขาคงคิดว่า เด็กหยอกกัน
ตอนป.5 เราย้ายไปเรียนที่ นนทบุรี เราขอพูดชื่อ รร.วัดบัวขวัญ โดยเฉพาะ รองผู้อำนวยการเป็นผู้หญิง และคุณครูอีกหลายท่าน เรารักและที่นี่อบอุ่นมากๆ เพราะเราเป็นเด็กบ้านนอก ไปเรียนในกรุง เราเลยกลัว และร้องไห้จนครูงง ว่าเรามีปัญหาครอบครัวรึเปล่าที่จริงแล้วเราคิดถึงบ้านที่โคราช และต้องปรับตัวที่นี่และกลัว แต่เพื่อนๆร่วมชั้นก็ดีมาก รักเรา ไม่รังเกียจเรา แต่ยุคนั้น ไม่มีเฟสบุ๊ค แล้วเราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก เราคิดถึงมากๆ
เหตุการณ์ที่เราจำได้คือ ไปเข้าค่ายลูกเสือต่างจังหวัด ครูประจำเราบอกว่า ให้เราดูแลตัวเองดี ให้ใส่หมวกตลอดนะลูก (เพราะเราไม่มีผม) แต่พอไปถึงค่าย ตอนเข้าฐาน รุ่นพี่ผู้หญิงก็แกล้งเรา แกล้งดึงหมวกเราออกต่อหน้าคนอื่นเยอะๆ
มอต้น เริ่มโตเป็นสาว เราก็ไปรร. สภาพมีผมเป็นหย่อมไปนั่นแหละ ยอมรับว่าเริ่มอาย ไปรร.โดนล้อแทบทุกวัน ล้อได้แต่ เพื่อนรักใคร่ และเป็นห่วง แต่คำที่เราเจ็บมากที่สุด ไม่ได้ออกมาจากปากเพื่อน แต่หลุดมาจากปากครูท่านนึง เขาพูดว่าเราเป็น"โรคสังคมรังเกียจ" แล้วครูก็หัวเราะ คิกคักกันในหมวด ตอนนั้นเราตัวเบา และอยากจะร้องไห้อยู่ตรงนั้นมาก (โรคที่เราเป็น คือผมร่วง ซึ่งมันไม่สามารถติดต่อสู่เพื่อนๆได้ มันไม่ใช่ไวรัส) วันนั้นเรากลับบ้านมา ร้องไห้เลยค่ะ เล่าให้พ่อแม่ฟัง เขาก็ให้กำลังใจเรา
พอมา มอปลาย เรายิ่งหนักเลยค่ะ เริ่มอาย อยากสวย กฎของรร.ให้ไว้ผมยาวได้ เลยลองไว้ ผมเรามันก็ยาวเป็นหย่อมๆ แล้วเราก็หาวิธีมัดผมปิดส่วนที่ไม่มีผม กว่าจะมัดเสร็จก็เป็นชั่วโมง เราตื่นแต่เช้ามามัดผม วันนึงเข้าแถวเคารพธงชาติ โดนรุ่นพี่ผู้ชายมาแกล้ง มากระชากผม (ไม่มั่นใจว่ามอต้นหรือปลาย) แล้วไม่มีใครช่วย แม้แต่เพื่อนในกลุ่ม เราอายมาก เพราะคนเยอะ ทั้งรร.เลย เราใช้ชีวิต เหมือนตัวประหลาดไม่ค่อยมีเพื่อน ไม่ค่อยมีสังคม เราโดนบูลลี่ โดนแกล้งสารพัด จึงไม่ค่อยมีใครอยากเล่นกับเรา เพราะเขากลัวโดนแกล้งโดนรังเกียจ มันเหมือนตายทั้งเป็นเลยแหละ เราแทบไม่อยากไปรร.อยากย้ายรร. แต่สงสารพ่อแม่
ได้แต่คิดว่า ใครจะว่ายังไง พยายามไม่สน แต่ลึกๆ เราเจ็บมากๆ เราไม่มีความสุข กับการไปรร.เลย แต่พยายามเรียนให้จบๆไปจะได้ไม่เจอกัน เพื่อนร่วมชั้นอีก
พอเรียนมหาลัย ไม่คิดจะใส่วิกนะ เรามัดผมปิดๆเอา ถ้ามีเรียนเช้าก็ต้องตื่นมาทำผม แต่ไม่ใครมาทำร้ายเรานะ ไม่มีใครมาว่าเรา สังคมนักศึกษาที่นี่ดีกับเรา เขาคงโตๆกันเเล้ว
เราก็เริ่มมีแฟนคนแรก เป็นนักเรียนเตรียมทหาร แต่บ้านของผู้ชายไม่ปลื้ม พยายามกีดกัน เขากลัวเราทำลูกเขาเรียนไม่จบ แต่ผู้ชายรักเราแม้ว่าเราจะไม่เหมือนคนอื่น(ไม่มีผม) สุดท้ายเราเลิกกัน
เราเลยเก็บกดไม่กล้ามีความรัก เคยคิดอยากจะมีแฟนเป็นผู้หญิง เป็นทอม แต่ใจไม่ได้ชอบแบบนั้น เราไม่เคยคิดเรื่องจะแต่งงาน เพราะคิดว่า สภาพตัวเองแบบนี้ใครจะมาชอบ ใครจะมารัก ภาวนาในใจ ในเมื่อผู้ชายไทย รับไม่ได้ในสิ่งที่เราเป็น ขอให้ได้ "ผัวฝรั่งทีว่ะ" ความคิดตอนอายุ 18-19
เราอ่ะโดน แกล้ง โดนล้อ โดนดูถูกมาทั้งชีวิต ถ้าจะถามเราว่า เราเป็นแบบนี้ เราเคยคิดฆ่าตายไหม เราบอกเลยว่า เคย และหลายรอบด้วย แต่เราได้แค่คิดเพราะ เราทำร้ายตัวเองไม่ลง
"เราคิดว่าเรา ยังตายไม่ได้เพราะพ่อแม่ของเรายังไม่สุขสบาย"
และ ถ้าเราฆ่าตัวตาย เท่ากับเราฉีกร่างกาย ของพ่อแม่ไปด้วย
เพราะกว่าเรา จะโตมาได้ เราเป็นเด็กเลี้ยงยาก กินยาก อันนั้นแพ้ อันนี้แพ้ พ่อแม่ต้องประคบประหงมเรา มากกว่าน้องชาย (จึงทำให้เราไม่ใช่คนที่ดีมาก แต่เราปรับปรุงตัวเองแล้ว เพราะแต่ก่อนเราค่อนข้างเอาแต่ใจ )
จะเล่าอีก1เหตุการณ์ ตอนนั้น จัดฟันกำลังฮิต เราก็ไปจัดฟันกับเพื่อนแต่เป็น แฟชั่น เพราะอยากสวย พอไปโรงเรียน ก็โดนเพื่อนผู้ชายล้อ เราเสียใจมาก แม่เราเลยเอารถไปเข้าไฟแนนซ์ เพื่อให้เราได้เงิน38,000หมื่นไปจัดฟันของแท้ นั่นคือ พ่อแม่รักเรามาก อยากให้เราได้ อยากให้มีเหมือนคนอื่น ที่เขาทำเพราะอยากทดแทนสิ่งที่เขาคิดว่า ทำให้เราเกิดมาไม่สมบูรณ์เหมือนคนอื่น
เพื่อนบ้านของเรา คนที่รู้จักพ่อแม่เรา เวลาเขาคุยเรื่องลูก ก็ต้องมีคุยเรื่องเราด้วย แม่เราโดนคนอื่นว่า ทำให้เราเกิดมาไม่ปกติเหมือนลูกคนอื่นๆ
จนบางครั้ง แม่เราเครียดเรื่องเรา แอบไปกินเหล้าจนเมา เพราะแม่เราเสียใจมาก ส่วนพ่อเรา เป็นคนเก็บความรู้สึกเก่งค่ะ ไม่มีใครเห็นน้ำตาง่ายๆ
การที่เราป่วย แบบนี้ มันไม่ได้มีผล แค่เราคนเดียว แต่มันส่งไปถึงพ่อแม่ด้วย เพราะเขารัก เราเจ็บ เขาก็เจ็บ แม่ยังเคยพูดว่า "ถ้าเป็นไปได้ แม่อยากเป็นแทนลูกนะ ลูกจะได้เหมือนคนอื่น ไม่ต้องอายใคร และมีชีวิตที่ดี"
"ตอนนี้เราคิดได้ว่า เราไม่อยากให้เขาโทษตัวเอง เราอยู่และเติบโตมาได้เพราะความรัก ความอบอุ่นจากครอบครัวจริงๆนะ เรารู้สึกว่าเราโชคดีมาก เพราะพ่อแม่รักเรา ไม่ทิ้งเรา ทุกครั้งที่คิดสั้น สิ่งที่ดึงสติของเราได้ คือพ่อแม่ ความรักที่บริสุทธิ์ที่เขาให้เรา"
เรื่องผม ของเรา ไม่ใช่ ไม่รักษานะ พ่อแม่ พาเราไปรักษาตั้งหลายที่ ทั้งรัฐ เอกชน คลีนิค เป็นสิปๆปีก็ไม่หาย หมดเงินไปเป็นล้าน หมอ บอกว่า โรคที่เราเป็น คือ1ล้านคน พ่อบอกอยากพาเรา ไปปลูกผม ด้วยหุ่นยนต์ ซึ่งมันแพงมาก เป็นแสนได้ เราสงสารเขา เราเลือกที่จะไม่ไปทำ และเรายอมรับที่เราเป็นแบบนี้ เราไม่อยากให้เขาเป็นหนี้เป็นสินเพื่อเราอีก แค่นี้มันก็มากมายเพียงพอแล้ว
เราโตขึ้นอายุ ที่เริ่มเปลี่ยนแปลงชัดเจน คือ 20-21(มันคือวัยที่กำลังโตเป็นสาวของเราสำหรับเรา เพราะเมื่อก่อนอยู่บ้านนอก แต่งตัวเยอะก็ว่าแปลก ว่าดูแรง แต่เราแต่งตัวเยอะคือ เราปกปิดความลับของเรา ) เราเริ่มแต่งตัว แต่งหน้า เพราะทำงาน ออฟฟิศ ใส่วิกทุกวัน หัดใส่ แฮร์พีช ลองผิดลองถูก จนใส่วิก จนถึงทุกวันนี้
โชคชะตา ก็มาเปลี่ยนชีวิตเราอีกครั้ง วันนั้นเรานั่งbtsกลับบ้านประมาณเที่ยงคืน เราเหลือเงินติดตัวแค่8บาท ในระหว่างนั้นมีผู้ชายต่างชาติ เขามาตามจีบ ตามเราจากโลกออนไลน์ จำได้แม่นเลย คืนนั้นเป็น วันคริสต์มาส หลังเที่ยงคืนเป็น วันเกิดเรา คือวันที่26
เขาบอกว่าชอบเรา ขอคบกับเรา แต่เราก็ด่าเขา ไล่เขาสารพัด เพราะเรารู้ตัวเองดีว่าเรา มีปมด้อย ไม่คู่ควร แล้วก็คิดไปเรื่อย เราก็ตัดสินใจบอกความจริงกับเขา ว่าเราไม่ได้ดูดีเหมือนรูปนะ เราเป็นคนขี้เหร่ และไม่มีผม เหมือนตัวประหลาด คุณจะรับได้หรอ
เขาตอบมา เขารับได้ เขารักที่เราเป็นเรา ไม่ใช่ภายนอก คืนนี้เป็นวันเกิดคุณ จะส่งของขวัญไปให้ เขาขอรหัสบัตรปชชเรา
เขาส่ง เลขยาวๆให้เรา บอกเราพรุ่งนี้ไปธนาคาร เอาของขวัญ
รุ่งขึ้น เราไปธนาคาร แล้วเขียนเอกสารเป็นภาษาอังกฤษ พร้อมยื่น บัตรปชชแล้วจนทให้เงิน เราดีใจมาก เพราะมีเงินกินข้าว และนั่งรถไปทำงาน
แปลกใจที่เราไม่เคยเจอกัน แต่เขาส่งเงินให้เรา ปกติเราเคยได้ยินว่า ฝรั่งจะไม่ค่อยทำแบบนี้
จากนั้นเขาก็บินมาหาเราที่ไทย ขอเดทกับเรา แต่เราไม่มีเวลาให้เขาเพราะทำงาน เขาเลยขอตามไปที่ออฟฟิศ ถือของให้ ตามขึ้นออฟฟิศไปดูที่ทำงาน (ออฟฟิศเราต้อง แลกพาสปอร์ตก่อนขึ้นชั้นสำนักงานสำหรับต่างชาติ) เจอหัวหน้าเรา และเพื่อนร่วมงาน เราเริ่มอายๆ จึงไล่เขากลับ 55
คบกันมาสักพัก สุดท้าย เขาขอเราแต่งงาน และรักกันทุกวันนี้ และก็จัดงานแต่งแบบบ้านๆ พ่อแม่เขาบินมาร่วมงาน และใส่ชุดไทย เขารักประเทศไทยมาก
ในงานแต่ง เราไม่รู้หรอกจะจัดงานแต่งเพื่ออะไรกัน ใจเราไม่อยากจัด เพราะว่าเสียดายตัง
แต่ สิ่งที่เราอบอุ่น หัวใจคือ แม่เราร้องไห้เพราะดีใจที่เห็นเราได้แต่งงาน
แม้ว่าอดีตเรา ดื้อ รั้น เอาแต่ใจ และมีแต่คนดูถูก เราทั้งครอบครัว ว่าลูกสาวบ้านนี้ จะมีผัวกับเขาไหม และพ่อเราก็ดีใจเช่นกัน เเละก่อนวันแต่ง เป็นวันเกิดพ่อ ซึ่งเขากำลังเตรียมสถานที่จัดงานแต่ง เรากับสามีซื้อเค้กไปเซอร์ไพรส์พ่อ เราเห็นรอยยิ้มของเรา และพูดประกาศออกไมค์ มันมีความสุขมาก
ในมุมกลับกัน "ถ้าวันที่เราสิ้นคิด ฆ่าตัวตาย เราจะเห็นรอยยิ้ม ความสุข บองคนในครอบครัวเราไหม "
ในเมื่อโรคที่เป็น ไม่มีวี่แววว่าจะหาย เราจึงปรับเปลี่ยน บุคลิกภาพ ตัวเองดูดี สนุกกับการแต่งตัว แต่งหน้า มีความสุขกับชีวิต
นี่คือรูปที่เรายังไม่ใส่วิก
อันนี้ใส่วิก และแต่งหน้า
ความเศร้า ความคิดลบมันมีได้ทุกคน
แต่เราต้องรักชีวิตตัวเอง รักคนรอบข้าง "เราต้องเห็นคุณค่าในตัวเอง แล้วคนอื่นเขาจะเห็น ว่าคุณมีค่า"
ขอบคุณทุกคนที่อ่านจนจบนะคะ
เราแอบร้องไห้ กว่าเราจะพิมพ์จบ
เพราะภาพต่างๆในอดีตมาตัดเข้ามาในหัว ซึ่งมันทรมาน แล้วเจ็บปวดมาก
ตอนนี้ เราตั้งใจทำยูทูปเพื่อบอกเล่าประสบการณ์ของเรา ไม่ว่าจะเป็นแต่งหน้า แปลงโฉม รีวิวความสวยความงาม
YouTube: Loli sen
เริ่มต้น เที่ยวตปทและในไทย รีวิว ที่พัก ราคาประหยัด ระดับพรีเมี่ยม วิดีโอแบบบ้านๆ
YouTube: Lolisen Vlog
มากดติดตาม ให้กำลังใจเราได้นะคะ
ชมคลิป
https://pantip.com/topic/39256285
https://www.youtube.com/watch?v=ytk3-9uiNdg
YouTube: Loli sen
(ได้ทำการขออนุญาตเรียบร้อย)