นาทีเฉียดตาย อาถรรพ์จากคำพูดของเรา
เรื่องนี้มาจากประสบการณ์ตรงของเราเอง ได้ประสบพบเจอเมื่อไม่นานมานี้ ตอนเย็นของวันนึง เมื่อกลางเดือนที่แล้ว วันนั้นเราทำโอ แล้วกลับบ้านห้าโมงเย็น มาถึงบ้านดันทะเลาะกับแม่ ทำให้ร้องไห้ น้อยใจมากปกติเราเป็นคนขี้น้อยใจอยู่แล้ว ทะเลาะกันอีก ยิ่งเสียใจเป็นเท่าตัว นอนร้องไห้ค่อนคืน กว่าจะหลับ จิตตกไปเลย ตื่นเช้ามาทำงาน ก็ไม่ดีขึ้น ยังมีน้ำตาซึม คิดเยอะแยะไปหมดในหัว ร้องไห้ขึ้นมาระหว่างขี่มอไซด์มาทำงาน ระหว่างทางที่เรามาทำงาน ถนนจะมีทางโค้ง มากกว่าทางตรงโดยส่วนใหญ่ ขี่ไปกลับบ้านกับที่ทำงานทุกวันเป็นประจำอยู่แล้ว มีอยู่ทางโค้งนึงเป็นโค้งตายโหง มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเป็นประจำ พูดอะไร ขออะไร ได้อย่างปากพูด มีคนขอให้ถูกหวย จะสร้างศาลให้ ก็ถูกจนมีการตั้งศาล เป็นที่แปลกใจของทุกคนที่ขับขี่ผ่านไปมา มีลงเฟซบุ้คด้วย เป็นที่พูดถึงกันอยู่พักใหญ่ๆ นอกเรื่องมานานแล้ว ขอเข้าเรื่องต่อ หลังจากขี่รถไปร้องไห้ไป จิตตกดิ่งลงสุด ขี่ผ่านทางโค้งนั้น เราเลยพูดในใจว่า เหนื่อย ไม่อยากอยู่แล้ว แค่แว่บเดียวที่นึกถึง พอผ่านโค้งนั้น เราก็ขับรถ ความเร็วอยู่ที่ 90+ ใจมันลอยๆด้วย ปกติเป็นคนขี่รถเร็วอยู่แล้ว แต่ความเร็วขนาดนี้ ปกติไม่ถึง แค่ 70-80 แล้วขี่มาเรื่อยๆด้วยความเร็วที่มันไม่ปกตินัก มีตลาดเช้าระหว่างทาง ปกติมาถึงแถวตลาดต้องชะลอความเร็วลง นี่เราไม่ชะลอเลย แล้วมีรถยนต์ถอยเข้าเลนซ้ายมือ เพื่อจะกลับรถ เราบีบแตรแล้ว รถยนต์คันนั้นก็คงไม่เห็น หรือมีอะไรบังตาไว้ ขับออกมาตัดหน้าเรา อีกนิดเดียวจะอัดเข้ากลางลำกะบะ เบรกแทบจะไม่ทัน อีกนิดเดียวเราเกือบตาย ตกใจมาก หัวใจไปอยู่ตาตุ่มงี้ เราคิดเรยบุญหมดแล้ว แต่ก็ต้องขี่รถไปต่อเพราะต้องทำงาน ในใจก็คิดว่า บ่นเหนื่อย ไม่ใช่จะตาย เราเป็นคนมีสัมผัสอยู่แล้ว พอมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น คือมันใช่แน่ๆ พูดบ่นในใจ สิ่งที่มองไม่เห็นมันเลยตามมา ดีที่ว่าบุญเรายังพอมีอยู่ หลังจากนั้น พอวันหยุด ก็ลุกมาใส่บาตร ทำบุญเอาเล่าให้ใครฟัง บอกคราวหน้าห้ามพูด ทุกวันนี้ก็ยังใช้เส้นทางนี้ไปกลับบ้านกับที่ทำงาน แต่ไม่ได้คิดหรือพูดอะไรแบบนั้นอีกแล้ว ว่างก็พยายามทำบุญ ขี่รถก็ยังคงเร็วเหมือนเดิม แต่ก้อระมัดระวังมากขึ้น ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ค่ะ ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ขับขี่ด้วยความระมัดระวังค่ะ