Huawei เผยระบบปฏิบัติการของตัวเอง ภายใต้ชื่อ “HongMeng OS”
จากกรณีที่ Google ประกาศหยุดทำธุรกิจกับ Huawei โดยเฉพาะการออกมาระงับการให้บริการต่างๆ ของ Google ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์จาก Huawei ไม่สามารถใช้ระบบปฏิบัติการ Android ได้ ทำเอาผู้ใช้สมาร์ทโฟน Huawei ทั่วโลกเกิดความกังวลใจไปตามๆ กัน
ซึ่งสาเหตุทั้งหมดนั้นเกิดจากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ อันเป็นผลมาจากที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กลับมาประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีน หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีการเจรจาจนชะลดมาตรการดังกล่าวออกไป ซึ่งทันทีที่สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีน ฝั่งจีนเองก็โต้กลับด้วยการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม Google ได้ออกมาเผยว่าจะหยุดให้บริการสำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นต่อๆ ไปที่ไม่ใช่รุ่นที่จำหน่ายในปัจจุบัน และจะหยุดให้บริการของ Google ทั้งหมดด้วย แต่จะยกเว้นในส่วนที่เป็น Android Open Source Project (AOSP) ที่ถือเป็นระบบสาธารณะทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน และไม่สามารถอ้างสิทธิ์ความเป็นเจ้าของได้ และมีรายงานว่า ทางด้านสหรัฐอเมริกาได้ทำการออกใบอนุญาตชั่วคราวให้ Huawei มีระยะเวลาทำธุรกิจกับบริษัทในสหรัฐฯ ได้ต่อไปอีก 90 วัน
ทาง Ren Zhengfei ซีอีโอของ Huawei ได้ออกมาตอบโต้เกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า การต่ออายุ 90 วันของสหรัฐฯ นั้น แทบจะไม่มีความหมายอะไรเลยและ Huawei ก็ได้เตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้อย่างเต็มที่แล้ว
เรามี Plan B สำหรับเตรียมความพร้อมในการสร้างระบบปฏิบัติการของตัวเองภายใต้ชื่อ “HongMeng OS” โดยได้มีการพัฒนามาตั้งแต่ปี 2012 แล้ว และปัจจุบันอยู่ในระหว่างการทดสอบการใช้งานอย่างเงียบ ๆ ซึ่งสำหรับชื่อของ Hongmeng นั้นยังไม่มีการคอนเฟิร์มว่าเป็นชื่อของระบบปฏิบัติการ หรือเป็นโค้ดเนม แต่แหล่งข่าวยืนยันว่าระบบปฏิบัติการดังกล่าวนั้นมีอยู่จริง
นอกจากนี้ Ren ยังเสริมอีกว่า เทคโนโลยี 5G ของ Huawei จะไม่ได้รับผลกระทบจากการประกาศแบนจากสหรัฐฯ ในครั้งนี้ และบอกว่าจะไม่มีบริษัทใดตาม Huawei ทันในด้านเทคโนโลยี 5G อย่างน้อย 2-3 ปี และยังบอกอีกว่านักการเมืองสหรัฐฯ นั้นประเมินความสามารถของ Huawei ต่ำไป
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ต้องติดตามในตอนนี้คือทาง Huawei จะมีมาตรการเยียวยาอย่างไร หลังจากที่ถูกทาง Google ระงับการเข้าใช้ Google Services ไม่ว่าจะเป็น Google Drive, Google Play, Google Search, Gmail, YouTube รวมทั้ง Google Maps และมหากาพย์นี้จะจบลงอย่างไร แต่ที่แน่ๆ เรื่องนี้เสียผลประโยชน์กันแทบทุกฝ่ายเลย