ศาสนา
ศาสนา ภาคที่ ๒ ตอนที่ ๑
ในศาสนาภาคที่ ๒ ตอนที่ ๑ นี้ จะอรรถาธิบายให้เกิดความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับ หนทาง หรือ บางศาสนาเรียกว่า "มรรค" ซึ่งศาสนาทุกศาสนา ล้วนมี "มรรค" หรือ"หนทาง" เหมือนกันทุกศาสนา จะแตกต่างกันไปก็เนื่องจากศัพท์ภาษา ทำให้อาจเรียกชื่อแตกต่างกันไป ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่เป็น "คำสอน" อันเป็น "มรรค" หรือ"หนทาง" ในการสังคมเป็นอยู่ร่วมกันของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมต่างๆตามธรรมชาติ
คำว่า "มรรค" หรือ "หนทาง"นั้น แท้จริงแล้ว เป็นความหมายที่ถูกบิดเบือนหรือเปลี่ยนแปลงความหมายไป จากความหมายที่แท้จริง มานานแล้ว จึงให้ผู้ศรัทธาในศาสนานั้นๆ เกิดความเข้าใจผิด คิดว่า "มรรค"หรือ"หนทาง" ก็คือ วิถี หรือวิธี หรือ ทางเดิน หรือ ทางปฏิบัติ ที่จักทำให้ผู้ประพฤติปฏิบัติ หรือยึดถือ มีความสุข หรือหลุดพ้น หรือได้มุ่งสู่จุดหมายแห่งความเป็นสุข
ที่กล่าวไปทั้งหมดข้างต้น เป็นความหมายที่ถูกเพียงครึ่งเดียว จะว่าเป็นความหมายที่ผิดก็ว่าได้ เพราะคำว่า "หนทาง"หรือ "มรรค" ในทางศาสนานั้น มิได้มีความจำเพาะหรือเจาะจงที่ตัวผู้ปฏิบัติแต่เพียงคนเดียว
แต่ "มรรค"หรือ"หนทาง"ในทางศาสนานั้น หมายถึง "สิ่งที่มนุษย์ และสรรพสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย จักประพฤติ ปฏิบัติ หรือจักมี จักเป็นเยี่ยงนั้น อย่างนั้น ไม่มีผู้ใด หรือสิ่งมีชีวิตใดใด หลีกหนีพ้นจาก "หนทาง" หรือ"มรรค"ได้แม้แต่สิ่งเดียว
หมายความว่า ทุกสรรพสิ่งทั้งที่มีชีวิต และไม่มีชีวิต ล้วนย่อม เป็นไปตาม"หนทาง" หรือ"มรรค" ตามแต่ลักษณะหรืออัตลักษณ์ของสิ่งต่างๆเหล่านั้้น
"มรรค"หรือ"หนทาง"ที่สรรพสิ่ง ล้วนจักมี จักเป็น จักต้องประพฤติ ปฏิบัติ ก็คือ
๑.การครองเรือน ๒.ทาน คือ การให้
๓. กตัญญู รู้คุณ ๔.การเจรจา ติดต่อสื่อสาร
๕.สรรพอาชีพ ๖. ประพฤติ
๗.การระลึก ๘. การดำริ
หรือจะรวมเป็น ๔ ข้อ ก็คือ
๑. การครองเรือนแห่งสรรพสิ่ง ,ทานคือการให้
๒. กตัญญูรู้คุณ ,เจรจา ติดต่อสื่อสาร
๓.สรรพอาชีพ , ประพฤติ
๔. ระลึก , ดำริ
มรรค หรือ หนทาง ทั้ง ๔ ข้อ ๘ อย่าง ข้างต้น เป็นสิ่งที่ มนุษย์ สัตว์ พืช และอื่น ล้วนย่อมมี ล้วนย่อมเป็นไปตาม มรรค หรือ หนทาง อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง (จบตอนที่ ๑ ภาค ๒)
ศาสนา (ภาคที่่ ๒ ตอน จบ)
ในภาคที่ ๒ ตอนที่ ๑ ข้าพเจ้าได้กล่าวถึง "มรรค" หรือ "หนทาง" อันเป็นความหมาย ซึ่งเป็นต้นตอแห่งหลักธรรมทั้งหลาย
และจงทำความเข้าใจเอาไว้ว่า "ศาสนาศรีอาริยเมตไตรย" ไม่มี จะมีก็เพียงแต่" หลักธรรมคำสอนของ พระศรีอาริยเมตไตรย เท่านั้น"
ซึ่ง พระศรีอาริยเมตไตรย นั้น เปรียบเสมือน ตัวแทน แห่ง พระศิวะ ,พระพรหม, พระวิษณุ,พระนารายณ์, และเทพองค์อื่นๆ
เนื่องจากหลักธรรมคำสอนนั้น เป็นหลักธรรมต้นตอแห่งศาสนา ไม่มีศาสนาไหนจะหลีกพ้น หลักธรรมคำสอนอันเป็น "มรรค" หรือหนทาง แห่ง พระศรีอาริยเมตไตรย
และจงทำความเข้าใจเอาไว้อีกอย่างหนึ่งว่า
"พระศรีอาริยเมตไตรย ไม่ได้มาทำลายศาสนาที่มีอยู่บนโลก และไม่ได้มาทำให้ศาสนาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน " แต่ศาสนาทุกศาสนา มาจาก หลักการหรือหลักธรรม อันเดียวกัน อันนี้ต้องทำความเข้าใจให้ดี อย่าได้บิดเบือนไปนอกเหนือจากนี้
"ศาสนาบนโลกมนุษย์ที่มีอยู่ มีไว้สำหรับมนุษย์เพื่อการสังคมเป็นอยู่ร่วมกัน ซึ่งล้วนแตกกอต่อยอด จากหลักธรรมต้นตอ ทั้ง ๔ ข้อ ๘ อย่างซึ่งจากอันหนึ่งก็ไปสู่อีกอันหนึ่ง จากอันหนึ่งผสมกับอีกอันหนึ่ง ก่อให้เกิดอีกอันหนึ่ง และเกิดอีกอันหนึ่งขึ้นมา หมุนวนกันเป็นวงรอบ ไม่มีที่สิ้นสุด
และนั่นคือตัวอย่าง "มรรคผล"ที่เกิดจากหลักธรรมต้นตอ จาก"พระศรีอาริยเมตไตรย"
และขอย้ำเตือนผู้ใฝ่เล่าเรียน ใฝ่ศึกษาเรียนรู้เอาไว้ว่า "ศาสนาศรีอาริยเมตไตรย" ไม่มี และไม่บังเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ศาสนาบนโลก จะมีเพียงศาสนาที่มีอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น
"พระศรีอาริยเมตไตรย" เพียงให้ความรู้ความเข้าใจต่อศาสนาทั้งหลาย ว่า "หลักศาสนาทั้งหลาย ล้วนกำเนิดจาก หลักธรรมต้นตอ ดังเผยแผ่ไป ๔ ข้อ ๘ อย่าง ไม่มีศาสนาไหนหลีกพ้น ฉะนี้ (จบภาคที่๒)
เทวฤทธิ์ ทูลพันธ์