ทศพิธราชธรรม บทที่ ๒๓ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ทศพิธราชธรรม บทที่ ๒๓ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ขอบคุณภาพจาก Wikipedia / บทกลอนโดย เดชา เวชชพิพัฒน์
จากเรื่องเล่าคำร้องมุขปาฐะ
ขัตติยะขัดเกลาเป็นหนังสือ
เป็นขุนช้างขุนแผนแสนเลื่องลือ
งานขึ้นชื่อกระฉ่อนกลอนเสภา
รามเกียรติ์อุณรุทและอิเหนา
ทรงปรับเค้าโครงเรื่องปรับภาษา
ใช้แสดงไหลลื่นชื่นมื่นตา
พระปรีชาสามารถวาดลวดลาย
อีกไกรทองคำกลอนปากตลาด
ทรงมุ่งมาดสำแดงแจ้งเป้าหมาย
สุนทรภู่ใช่ผูกขาดสำนวนปลาย
ชั้นเจ้านายทรงทำได้ไม่เหลือเกิน
บทพากย์โขนที่เป็นอมตะ
ศิลปะยูเนสโกโอ่สรรเสริญ
“นาคบาศ” “นางลอย” แต่งดำเนิน
แสนเพลิดเพลิน “หักคอช้างเอราวัณ”
มัสมั่นแกงอร่อยโลกยกย่อง
เราเคยท่องขึ้นใจในโคลงฉันท์
กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานมีครบครัน
องค์ราชันบันทึกไว้ทุกเมนู
ทรงประพันธ์ดนตรีเพลงขับร้อง
ยอดทำนอง “บุหลันลอยเลื่อน” หรู
อีก “บุหลันลอยฟ้า” ลอยมาดู
องค์วิภูวิริยะแห่งวิญญาน
วิสสุกรรมทรงทำเห็นประจักษ์
แกะสลักบานประตูพระวิหาร
ทรงปั้นหุ่นพระพักตร์พระประธาน
เรากราบกรานอยู่ทุกวันวัดอรุณ
ทรงห้ามเลี้ยงไก่นกและปลากัด
ทรงเคร่งครัดห้าบสูบฝิ่นห้ามอุดหนุน
แปลบาลีบทสวดมนต์ธรรมคุณ
ช่วยค้ำจุนศาสนาไม่เบี่ยงเบน
แปดพรรษาทรงร่วมรบที่เชียงใหม่
จนผ่านไปเจ็ดปีรบเขมร
ต้นยี่สิบรบทวายตามนเรนทร์
ตามหลักเกณฑ์ผู้เป็นใหญ่แห่งทั้งปวง
ทรงเห็นความสำคัญชาวต่างชาติ
ทรงประกาศแต่งตั้งเป็นชั้นหลวง
ผูกสัมพันธ์จักรพรรดินามเต้ากวง
อำนาจถ่วงกลยุทธ์รักษ์แผ่นดิน
ทรงเป็นทั้งกวีและนักรบ
ทรงเจนจบทั้งศาตร์และทั้งศิลป์
นักปกครองจนถึงศิลปิน
องค์ภูมินทร์คืออาทิตย์เลิศหล้านาม
นภาลัยไม่เต็มเติมพระตปะ
วิริยะภูมินทร์สิ้นคำถาม
รัชกาลที่สองส่องแสงงาม
ส่องสยามตามทางสู่รุ่งเรือง