โลกไม่จำเป็นต้องมีมนุษย์ แต่มนุษย์จำเป็นต้องมีโลก!
โลกไม่จำเป็นต้องมีมนุษย์ แต่มนุษย์จำเป็นต้องมีโลก!
•
ไทยต้องหยุดตัดไม้ทำลายป่า และปลูกไม้ทดแทนให้ถึง 50% ให้ได้ “เพื่อโลก เพื่อเรา เพื่อลูกหลาน”
•
ปัจจุบันนี้โลกเหลือพื้นที่ป่าเพียง 30% จากพื้นที่ทั้งหมด ทุกๆ นาทีมีพื้นที่ป่าขนาด 20 สนามฟุตบอลกำลังถูกทำลายทุกมุมโลก จากสถิติและพฤติกรรมทำลายป่าในปัจจุบันคาดการณ์ว่าป่าดิบชื้นเขตร้อน (rain forest) จะหายไปทั้งหมดภายใน 100 ปีข้างหน้า
•
ตอนนี้ไทยมีพื้นที่ป่าเพียง 31.58% ของพื้นที่ประเทศทั้งหมด ข้อมูลปี 2561 จากที่มี 53.3% ในปี 2504 (มูลนิธิสืบ, 2561) ซึ่งสัดส่วนเปอร์เซ็นต์พื้นที่ป่าเรารั้งท้ายอยู่อันดับ 8 ในอาเซียน! ที่ 1 คือลาว ซึ่งมีพื้นที่ป่าถึง 81.289% (World Bank ข้อมูลปี 58)
•
ป่าไม้เป็นสิ่งสำคัญต่อระบบนิเวศ และสิ่งมีชีวิต การตัดไม้ทำลายป่าเป็นส่วนสำคัญให้เกิดปัญหาและภัยพิบัติต่างๆ เช่น น้ำท่วม แห้งแล้ง อากาศแปรปรวน และที่สำคัญ “ภาวะโลกร้อน”
•
เนื่องด้วยมีการปล่อยควันพิษ และแก๊สเรือนกระจกที่สูงขึ้น เมื่อมีต้นไม้ที่น้อยลงการดูดซับก๊าซก็น้อยลงตามมา ส่งผลร้ายต่อมนุษย์ และทำให้สิ่งมีชีวิตนับหมื่นสายพันธ์ต้องล้มตายและสูญพันธุ์ ถือเป็นภยันตรายของโลกยุคปัจจุบัน
•
สาเหตุของการตัดไม้ทำลายป่า...
1.มนุษย์ ประชากรเพิ่มขึ้นทำให้จำนวนป่าลดลง เพราะต้องการพื้นที่ป่าทำมาหากิน เช่น เกษตร เรือกสวนไร่นา โดยเฉพาะไร่เลื่อนลอย และการปลูกพืชเชิงเดี่ยวที่ต้องใช้พื้นที่มาก หรือต้องการทำที่อยู่อาศัย อาคารร้านค้า บ้านเรือนเพิ่มขึ้นทุกวัน รวมถึงการใช้กระดาษอย่างสิ้นเปลือง การทุจริตคอร์รัปชันลักลอบตัดไม้ทำลายป่า และการฟื้นฟูป่าที่ไม่สามารถแก้ไขได้ การทำเขื่อน และเหมืองแร่ และอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะจากนโยบายรัฐที่ผิดพลาด
2.ธรรมชาติ ไฟป่า และภัยธรรมชาติอื่นๆ ซึ่งเป็นส่วนที่น้อย เมื่อเทียบกับน้ำมือของมนุษย์
•
ตัวอย่างการแก้ไข ปัญหาในต่างประเทศ...
1.นอร์เวย์ แบนการตัดไม้ทำลายป่า เป็นประเทศแรกในโลก มุ่งลดปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าที่เกิดในประเทศของตัวเองให้เป็นศูนย์ โดยในปี 59 ได้เดินหน้าออกกฎหมายแบนสินค้าทุกชนิดที่ผลิตจากวัสดุที่ได้มาจากการทำลายป่า หนึ่งในตัวอย่างคือการหยุดใช้น้ำมันปาล์มที่มาจากการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งจะบังคับใช้ในปี 63
2.ปากีสถาน ปลูกต้นไม้มากกว่าพันล้านต้น เพื่อเปลี่ยนพื้นที่แห้งแล้งให้เป็นป่า เมืองไคเบอร์ปัคตูนควา สั่งปลูกต้นไม้มากกว่าพันล้านต้นในปี 57 และฟื้นฟูพื้นที่กว่า 3,500 ตารางกิโลเมตร โดยใช้คนงานกว่า 16,000 คน (ปลูกต้นยูคาลิปตัสไปแล้ว 900,000 ต้น และอีกมากกว่า 42 สายพันธุ์) เพื่อช่วยป้องกันการกัดเซาะของแม่น้ำ ช่วยให้ฝนตกมากขึ้น บรรเทาปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง และเป็นที่อยู่ให้สิ่งมีชีวิต ซึ่งโครงการนี้ปลูกต้นไม้ได้ทะลุเป้าหมายตามที่ต้องการแล้ว คาดการณ์ว่าใช้เงินราว 170 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
3.จีน ตั้งเป้าปี 63 ให้พื้นที่ป่าเป็น 23% จาก 21.7% ในปี 59 เพื่อปรับปรุงคุณภาพอากาศ และช่วยสัตว์ไม่สูญพันธุ์ การพัฒนาและการเกิดขึ้นของบ้านเมืองอย่างรวดเร็วในจีน ทำให้สิ่งมีชีวิตหลายสายพันธ์ตายหายไป และเกิดควันพิษหนาแน่น จึงต้องใช้มาตราการจริงจังเพื่อแก้ไข ภายใน 5 ปี ประเทศจีนปลูกป่าไปแล้ว 83.5 ล้านเอเคอร์ จากปี 56-61 เพื่อสร้างแหล่งที่อยู่อาศัยให้แก่สัตว์ป่า ในปี 61 จีนต้องการปลูกป่า 84,000 ตารางกิโลเมตร โดยใช้ทหารกว่า 60,000 นาย
4.อังกฤษ จะปลูกต้นไม้ 10 ล้านต้น เพื่อต่อสู่โลกร้อน อังกฤษมีพื้นที่ป่าเพียง 13% ในขณะที่ประเทศอื่นในแถบยุโรปด้วยกันมีพื้นที่สีเขียวเฉลี่ย 35% จึงต้องการปลูกต้นไม้ 10 ล้านต้น ใช้เงินรวม 50 ล้านปอนด์ให้แก่เจ้าของที่ดินเพื่อปลูกป่า และสร้างเส้นทางให้คนสามารถเข้าถึงป่าได้ โดยต้นไม้ 100,000 ต้น จะถูกปลูกในเมืองต่างๆ
5.บราซิล ลดก๊าซเรือนกระจกได้มากที่สุดในโลก ลดการตัดไม้ไป 75% บราซิลประสบความสำเร็จในการปกป้องผืนป่า จากการถูกตัดได้กว่า 86,000 ตารางกิโลเมตร ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้กว่า 3.2 ล้านตัน มาตราการที่สำคัญคือ การนำเทคโนโลยีดาวเทียมทันสมัยเข้ามาตรวจสอบการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า จัดตั้งพื้นที่อนุรักษ์เพิ่มมากขึ้น แก้ปัญหาเรื่องที่ดินของชนพื้นเมือง โดยมีการจัดขอบเขตอย่างชัดเจน การจับและปรับผู้กระทำผิดอย่างเข้มงวด อย่างไรก็ตามบราซิลยังมีปัญหาเรื่องการล่าสัตว์ป่า
•
การแก้ไขปัญหาในไทย และข้อเสนอแนะ “ป่ายั่งยืน” เมื่อประชากรเพิ่มขึ้นความต้องการในการใช้พื้นที่ เพื่อความอยู่รอดต่างๆ จึงมากขึ้น ทุกฝ่ายเห็นว่าป่าไม้แบบยั่งยืนและแบ่งสัดส่วนการใช้พื้นที่ที่ชัดเจน โดยเน้นคนอยู่ร่วมกับป่า จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด หรือการทำ “กรีนไทยแลนด์” โดยอย่างน้อยต้องทำดังนี้
1.ตั้งเป้าเพิ่มพื้นที่ป่าให้ได้ 50% และเพิ่มพื้นที่สีเขียวทั้งในเมืองและนอกเมืองรวมกันให้ได้ 60%
2.สร้างโมเดลใหม่เศรษฐกิจชีวภาพ และพัฒนาให้ไทยเป็นศูนย์กลาง
3.เดินหน้า 4 ยุทธศาสตร์ คือ ป่าเมือง ป่าชุมชนป่า ป่าอนุรักษ์ ป่าเศรษฐกิจ ทั้งการป้องกันป่าที่มีอยู่แล้ว การเพิ่มพื้นที่ป่า และการใช้ประโยชน์ให้เป็นไปตามหลักการอนุรักษ์
4.One Map ต้องทำให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด และนำมาใช้ทำแนวเขตป่า เพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งระหว่างที่ป่ากับที่ชาวบ้าน
5.แก้ปัญหาการอยู่อาศัยในพื้นที่ป่าของประชาชน โดยการไม่ให้มีการบุกรุกเพิ่มเติม โดยเฉพาะแหล่งต้นน้ำลำธาร
6.แก้ไขปัญหาความต้องการที่อยู่อาศัยและที่ทำกินในรูปแบบธนาคารที่ดิน
7.การทำพื้นที่เกษตรแบบยั่งยืน เช่น สวนยางยั่งยืน วนเกษตร
8.มาตรการจูงใจรายต้น โดยให้ค่าใช้จ่ายเพื่อการดูแลต้นไม้ให้กับประชาชนที่ปลูกและมีไม้อยู่ในที่เอกสารสิทธิ เพื่อเป็นมาตรการเร่งรัดการเพิ่มพื้นที่ป่า และออกพันธบัตรต้นไม้เพื่อเหล่านี้ให้ครบถ้วนเพื่อนำไปใช้เป็นหลักประกันได้
•
หากไม่ทำแบบนอร์เวย์ จีน ปากีสถาน อังกฤษ บราชิล และ 8 มาตราการของไทย ที่กล่าวแล้วข้างต้น คาดกันว่าป่าดิบชื้นเขตร้อน (rain forest) จะหายไปจากโลกทั้งหมดภายใน 100 ปีข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลร้ายต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหมด
•
โลกไม่จำเป็นต้องมีมนุษย์ แต่มนุษย์จำเป็นต้องมีโลก!...
แหล่งที่มา: https://www.facebook.com/environman.th/