ถึงวันนี้ หลายคนคงทราบเข้าใจดีแล้วนะครับว่า
"สะพานลอย"
ไม่ได้สร้างขึ้นมาด้วยแนวคิดที่เอาความสะดวก สบายของคนเดินเท้าเป็นที่ตั้ง
แต่สร้างด้วยแนวคิดเอาความสบายของรถยนต์เป็นหลัก
ถามว่าทำไมถึงคิดอย่างนั้น?
เอาง่ายๆ ดูในรูปสิครับ คนแก่ใช้เวลากว่าสิบนาทีในการพยายามเดินขึ้นสะพานลอย อยากจะแค่ข้ามไปฝั่งโน้น ไม่ได้อยากขึ้นดอยสุเทพ
นะครับ
มีสะพานลอย ใครสบาย?
คนข้ามถนน หรือรถยนต์ที่ไม่ต้องเสียเวลาหยุดให้คนข้าม?
ทั้งๆ ที่คนมีสิทธิ์ที่จะข้ามถนนบนพื้นราบ แต่เมื่อรถเยอะ ถ้าจะต้องมีทางม้าลาย และรถต้องหยุดให้คนข้ามบ่อยๆ รถก็จะติด การจราจรก็จะไม่คล่องตัว หน่วยงานราชการ(ที่ขี้เกียจหรือไม่มีความสามารถทำให้รถหยุดเพื่อคนข้ามได้) ก็เลยจัดงบประมาณสร้างสะพานลอย(ราคาหลายล้านบาทต่อ 1 สะพาน) มันซะเลย แก้ปัญหาง่ายดี และสร้างมันในนามของความปลอดภัยในการข้ามถนน แถมใครไม่ข้ามผิดกฏหมายอีกด้วย
เราทราบดีว่า ในประเทศที่พัฒนา จะไม่นิยมมีสะพานลอยโดยเฉพาะในเขตเมืองที่มีคนเดินเท้าหนาแน่น เพราะง่ายๆ ครับ สะพานลอยไม่ใช่ทางข้ามที่อำนวยความสะดวกให้กับคนเดินเท้าทุกคน คนแก่ เด็ก คนท้อง คนพิการตาบอด คนพิการใช้รถเข็น ข้ามลำบากหรือข้ามไม่ได้เอาเลยด้วยซ้ำ แถมฐานสะพานลอยทำให้ทางเท้าแคบ และบดบังหน้าร้านอาคารพานิชย์
ถึงวันนี้ ในประเทศไทย โดยเฉพาะกรุงเทพฯ กลายเป็นเมืองที่มีสะพานลอยมากที่สุดในโลกแน่นอนโดยเฉพาะในเขตเมือง สี่แยกไฟแดงที่รถต้องหยุดก็ยังมีสะพานลอย มันเป็นการแก้ปัญหาง่ายๆ แถมได้งบไปใช้ ทั้งๆ ที่ทำทางม้าลายดีๆ และบังคับให้รถหยุดให้คนข้ามนั้น ประหยัดกว่าเป็นพันๆ เท่า
ที่ผ่านมา หน่วยงานที่บริหารเมืองไม่เคยเห็นความสำคัญของคนเดินเท้า วันนี้ก็ยังไม่เห็น อยากให้พวกเราเห็น เข้าใจ ถ้าเราไม่เห็น ไม่เข้าใจ ไม่ตระหนักในสิ่งที่โลกพัฒนาแล้วตระหนัก เราก็อาจจะถูกหน่วยงานราชการแย่ๆ กระทำแย่ๆ กับเราบนถนน บนทางเท้า...อยู่ร่ำไป
หมายเหตุ:
1. ถ้าจะบอกว่าก็ใช้บันไดเลื่อน หรือติดลิฟท์สิ คำถามก็คือต้องใช้เงินอีกกี่พันล้าน คือเราจะใช้งบประมาณและสละสิทธิ์พื้นฐานในการข้ามถนนบนพื้นราบให้การจัดการถนนเพื่อรถยนต์อย่างเดียวขนาดนี้เลยเหรอ?
2. พวกสกายวอล์กที่พาคนเข้าห้างก็ใช่ คนที่บอกว่าเดินสบาย อาจจะแสดงว่ายอมรับต่อการจัดการเมืองแย่ๆ ที่ทำให้เราเดินข้างล่างไม่ได้ไปแล้ว และยิ่งความคิดทำสกายวอล์กคร่อมทั้งถนนนี่ยิ่งแล้วใหญ่ตัดขาดชีวิตบนพื้นราบ ร้านรวง อาคารพานิชย์เล็กๆ น้อยๆ ตายหมด ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง นั่นคือการยอมจำนนให้แก่วัฒนธรรมรถยนต์ และเป็นการยอมรับการจัดการเมืองที่แก้ปัญหาบนพื้นราบไม่ได้อย่างอย่างที่ไม่มีประเทศที่พัฒนาและเจริญแล้วเขาเป็น จะมีก็แต่ประเทศที่พัฒนาเท่าไหร่แต่ไม่เคยเจริญอย่างเรา...เท่านั้นแหละครับ