ครม.ไฟเขียวร่างโรดแมปการจัดการขยะพลาสติก พ.ศ.2561-2573
✅ ครม.ไฟเขียวร่างโรดแมปการจัดการขยะพลาสติก พ.ศ.2561-2573 | ตั้งเป้าลดและเลิกใช้พลาสติก 7 ชนิดภายในปี 65 | และรีไซเคิลขยะพลาสติกให้ได้ 100% ภายในปี 2570
•
เมื่อวันที่ 17 เม.ย. ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ร่าง Roadmap การจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. 2561 – 2573 ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงท.ส. กรมควบคุมมลพิษ ปรับปรุง (ร่าง) Roadmap ดังกล่าว และจัดทำร่าง แผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. 2561-2573 ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 12 มี.ค. 2562
•
โดยเป้าหมายในการลดและเลิกการใช้พลาสติก รวมถึงการนำขยะมาใช้ประโยชน์ตามโรดแมปแบ่งเป็น 2 เป้าหมายมีดังนี้...
•
เป้ายหมายที่ 1 เลิกใช้พลาสติก และใช้วัสดุทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แบ่งเป็นสองช่วง คือ
ภายในปี 62 ลด เลิก 3 ชนิดด้วยกันคือ
- พลาสติกหุ้มผาขวดน้ำ
- พลาสติกผสมสารอ็อกโซ่ (OXO)
- พลาสติกไมโครบีด (Microbead)
ภายในปี 65 ลด เลิก 4 ชนิดคือ
- พลาสติกหูหิ้ว
- โฟมใส่อาหาร
- แก้วพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง
- หลอดพลาสติก
•
เป้าหมายที่ 2
ภายในปี 70
- นำขยะพลาสติกที่สามารถรีไซเคิลได้กลับมาใช้ประโยชน์ได้ 100%
- กำจัดพลาสติกที่ไม่สามารถนำกลับมารีไซเคิลอย่างถูกวิธีแบ่งเป็น 3 มาตรการ
มาตรการ 1.มาตรการลดการเลิกขยะพลาสติก ณ แหล่งกำเนิด โดยจะมีการสนับสนุนการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
มาตรการที่ 2. ลด เลิกใช้พลาสติก ณ ขั้นตอนการบริโภค โดยขับเคลื่อนการลด เลิกใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว
มาตรการที่ 3. จัดการขยะพลาสติกหลังการบริโภค โดยจะมีการส่งเสริม สนับสนุนการนำขยะพลาสติกเข้าสู่การนำกลับมาใช้ให้เป็นประโยชน์
•
หากเราสามารถทำตามโรดแมปที่วางไว้ได้ คาดว่าเราจะสามารถลดปริมาณขยะพลาสติกที่ต้องนำไปกำจัดได้ประมาณ 0.78 ล้านตันต่อปีเลยทีเดียว ซึ่งเป็นการประหยัดงบประมาณในการจัดการกับขยะมูลฝอย ได้ประมาณ 3,900 ล้านบาทต่อปี!!!!!!
•
จะประหยัดพื้นที่รองรับและกำจัดขยะมูลฝอย พลาสติก โดยการคัดแยกและนำขยะพลาสติกกลับมาใช้ใหม่ จะช่วยประหยัดพื้นที่ฝังกลบได้ประมาณ 2,500 ไร่
•
คาดสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เท่ากับ 1.2 ล้านตัน CO2 เทียบเท่า ถ้านำพลาสติกไปเป็นพลังงานจะก่อให้เกิดพลังงาน 1,830 ล้านกิโลวัตต์/ชั่วโมง หรือเป็นเชื้อเพลิงสำหรับโรงไฟฟ้าขนาด 230 เมกะวัตต์ หรือสามารถประหยัดพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติในกระบวนการผลิต เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้วัตถุดิบใหม่ โดยประหยัดพลังงานได้ 43.6 ล้านล้านบีทียู หรือคิดเป็นน้ำมันดิบประมาณ 7.54 ล้านบาร์เรล คิดเป็นมูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาท
แหล่งที่มา: https://www.facebook.com/environman.th