เปิดบทสัมภาษณ์ "ซากุระ" ล่าสุด มารู้จักตัวตนและเพศทางเลือกของเธอกันเถอะ!
เฟซบุ๊กแฟนเพจSPECTRUM ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์สาวน้อยซากุระที่กำลังเเบ่งบานในวิถีชีวิตของตัวเอง เธอเป็นสาวน้อยที่หลายคนรู้จักกันดีในนาม "เคอิโงะ ซาโต" เด็กชายลูกครึ่งไทยญี่ปุ่นที่เคยออกตามหาพ่อชาวญี่ปุ่นจนกลายเป็นข่าวโด่งดัง และจากกนะแสข่าวนั้นก็ทำให้พ่อลูกได้พบกันในที่สุด.
ล่าสุด"เคอิโงะ"เติบโตและเลือกวิถีชีวิของตัวเอง เลือกที่จะเดินตามหัวใจและรู้สึกว่าตนเองไม่ใช่ผู้ชายตามสภาพร่างกาย เธอเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ผิดร่าง หลังจากที่เคอิโงะเปิดตัวว่าตัวเองเป็นเพศที่สามก็ได้สร้างความฮือฮากันสังคมอีกครั้ง...
ล่าสุดเฟซบุ๊กแฟนเพจ SPECTRUM ได้อัพเดทชีวิตของ"เคอิโงะ" หรือชื่อใหม่คือ "ซากุระ" ระบุว่า “หากย้อนเวลาไปเมื่อสิบปีที่แล้ว ใช่ค่ะ หนูคือ ‘เคอิโงะ ซาโต’ เด็กที่ตามหาพ่อคนนั้นที่ทุกคนรู้จักดี ตอนนี้หนูมีชื่อเล่นแล้ว ชื่อ ‘ซากุระ’ และหนูเป็น ผู้หญิง ค่ะ
“ หนูรู้ตัวดีมาตลอดว่าตัวตนข้างในของหนูนั้นคือผู้หญิงมาโดยตลอด ตอนวัยสี่ขวบ ตามฉบับเด็กน้อยจังหวัดพิจิตร บ้านหนูชอบดูลิเกมาก หนูเริ่มรู้สึกได้ว่าหนูเป็นผู้หญิงเพราะหนูรู้สึกอินกับนางเอกลิเก เห็นความนุ่มนวล ความอ่อนช้อย เห็นชุดสุ่มประดับเพชรแวววับ ร้องเพลงเสียงหวานไพเราะ หนูไม่รู้หรอกว่าเราเป็นอะไร เพียงแค่รู้ว่าจิตใจเรานั้นเป็นเหมือนนางเอกลิเก ไม่ใช่พระเอก เราดูลิเกทั้งวันทั้งคืน ว่างก็แอบเอาผ้ามาพันเป็นผม แอบเอาผ้าห่มมาพันตัวจินตนาการว่าเป็นกระโปรงสุ่มใหญ่ๆ ให้เหมือนนางเอกลิเก ร้องรำทำเพลงรอบบ้าน ตอนเด็กไม่มีคนว่าค่ะเพราะแบบหนูยังเด็กและเขาก็คิดว่าเราตลก”
“ตอนนั้นหนูก็เริ่มงงค่ะ งง ทำนองว่า เอ๊า ทำไมฉันไม่เกิดมาเป็นผู้หญิง แบบทำไมร่างกายฉันเป็นผู้ชาย มีจู๋ งี้ และ ก็ตั้งคำถามกับตัวเองในใจมาตลอดจะเป็นผู้หญิงได้ยังไง จะทำยังไงดีในอนาคต เพราะตอนนั้นยังไม่รู้จักศัลยกรรมเลยค่ะ ก็มีแค่ความหวังเล็กๆ ว่าต้องเป็นผู้หญิง ในตอนนั้นก็แอบคิดนะคะ จะรอดไหมถ้าประกาศตัว สังคมจะทำไรเราบ้าง หนูจะโดนไรบ้าง หนูอึดอัดและเศร้ามาก อารมณ์เหมือนว่า เขาจะเกลียดเราแน่นอนถ้าเราเป็น เพราะครอบครัวไม่อยากให้เป็น ลุงหนูเขาแอนตี้ เขาไม่ชอบ พอเห็นการพูด ท่าทางของเรา เขาจะเตือนตลอด หนูก็เก็บกดนะคะ เป็นเด็กหนูก็ไม่กล้าเถียงผู้ใหญ่
เวลาอยู่ในห้อง ก็ส่องกระจก ฉันสวยยังๆ แต่ไม่ให้ใครเห็น ซื้อเสื้อผ้าผู้หญิงมาแอบใส่ พอเขาเรียกไปล้างจานก็รีบเปลี่ยนแล้ววิ่งไปและวันหนึ่งเขาก็จับได้ เพราะหนูเอาเงินเก็บไปซื้อรองเท้าส้นสูงหกนิ้ว กับวิกผมและแอบใส่ไว้ในตู้เสื้อผ้า พอเขามาเจอก็เทศน์หนูนานมาก เป็นแบบนี้ไม่ดีนะ เขาเสียใจ หนูเงียบไม่พูดอะไร ทั้งๆ ที่ในใจหนูอยากเป็นผู้หญิงมาก”
“หนูจึงใช้ชีวิตแบบผู้ชายมาตลอด เพราะทั้งรู้ว่าที่บ้านไม่อยากให้เป็น การที่เราแอ๊บคือเรากลัวค่ะ หนูทำทุกอย่างที่เป็นกิจกรรมผู้ชายค่ะสมัยนั้น หนูวิ่งเร็วมากแข่งนี่ชนะเพื่อนผู้ชายเลยค่ะ เตะบอลก็อยู่กองหน้า
แต่พอบางทีเผลอวิ่งตูดบิด หลุดอุทาน อ๊าย เราก็จะโดนถาม เป็นใช่ไหม? หนูก็จะปฏิเสธ เพราะกลัวเพื่อนไม่ชอบหนูแน่ กลัวเพื่อนไม่คุยด้วย ไม่คบเรา และจากที่เราเห็น สมัยนั้นใครเป็นตุ๊ดนี่คือตัวตลก กลัวถ้าเราบอก เพื่อนก็จะล้อเราหัวเราะเรา
ชีวิตในโรงเรียนตอนนั้น เพื่อนถามเกือบทุกวันเลยค่ะ ชั้นหนูมีสิบห้อง เพื่อนทุกห้องมารุมถาม เป็นตุ๊ดเหรอ เป็นน่ะเนี่ย
ตอนนั้นรำคาญโมโหมาก คือถามบ่อยจนต้องแอบร้องไห้ในห้องน้ำโรงเรียน“
.
"ชีวิตหนูคนรู้จักเยอะมาก ถ้าหนูบอกว่าไม่ได้เป็นผู้ชาย หนูต้องโดนกระแสของคมในทางลบแน่ๆ มันเหมือนถูกจ้องมองตลอดกับการที่คนรู้จักเราในนามเด็กผู้ชายชื่อเคอิโงะ ซึ่งวางตัวตนให้เราแล้วมันมาสร้างความกลัวไม่ให้หนูแสดงตัวตนของตัวเอง
“และสิ่งที่หนูกลัวก็มาถึงคือเมื่อหนูไปเป็นหลีดสีเขียวตอนม. 5 เป็นการแต่งหญิงครั้งแรกในชีวิต รูปออกไป ตามที่คิด มีการตั้งโต๊ะมีคนมาถามที่บ้านหนู สอบสวนหนูเหมือนหนูไปฆ่าใครมา เหมือนว่า เออยอมรับสิๆ หนูกลัวเลยบอกไปแค่ว่าหนูแสดงละครเฉยๆให้งานโรงเรียน เหมือนหนูต้องใส่หน้ากากเพราะความกลัว หนูไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้เลย ที่ต้องมาถูกบังคับยอมรับเป็นหรือไม่เป็น มันเหมือนว่าถ้าหากคุณเป็นเพศอื่นที่ไม่ใช่ชายหญิงเมื่อไหร่มันเหมือนคุณเป็นโรคอะไรซักอย่างหรือไปทำอะไรไม่ดีไว้ที่ต้องสารภาพเท่านั้น”
“จนในที่สุดพอหนูเข้ามหาวิทยาลัย การศึกษานี่คือสิ่งที่ทำให้บ้านหนูยอมรับ หนูตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด หนูเริ่มมีพื้นที่ของตัวเอง เริ่มเชื่อในศักยภาพตัวเอง หนูเลยตัดสินใจจะประกวดดาวเทียมของทางมหาลัย ตัดสินใจเป็นเดือนค่ะตอนนั้น เพื่อนก็ช่วยให้กำลังใจหนูค่ะ มาขนาดนี้ต้องสู้ที่จะเป็นตัวเอง หนูเลยตัดสินใจประกวดค่ะ เหมือนเดิมค่ะตามคาดล้านเปอร์เซ็นต์ เกิดประเด็นมาพร้อมคำถามเป็นเหรอ? เป็นเหรอ? ในใจก็คิดว่าหยุดถามซะทีเถอะ หนูก็เลยตัดสินใจยอมรับบอกว่าหนูเป็นผู้หญิงนะ จากนั้น ความแปลกประหลาดในสายตาของผู้คนก็ทำให้หนูต้องไปตอบคำถามซ้ำๆ ว่าทำไมถึงเป็นผู้หญิง และสิ่งที่ตามมาอีกคือ กระแสในโลกโซเชี่ยลเหมือนหนูเป็นตัวประหลาด สร้างความประหลาดให้ทรานส์อย่างหนู
คอมเมนท์สังคมก็น่ากลัวมากค่ะ เขาไม่รู้จักเราเลย ไม่เคยเจอเรา แต่เขาได้ตัดสิน ด่าทอหนูไปแล้วจากอคติเรื่องเพศ เช่น ‘ทำไมไม่เป็นผู้ชายล่ะ’ ‘อ้าว สายเหลืองนี่นา’ ‘อีตุ๊ด ชะตารูตูดขาดแน่ๆ’ ‘มันเสียวน้อยนะ ถ้าไปเอาตรงนั้นออก’ ‘พ่อคงช็อคอะ’ ’เคอิโงะซัง อย่าเอาเงินบริจาคไปตัดไข่นะ มันไม่ดี’ บ้างมีเสียงสูง ‘อ๊าว โตมาแล้วเป็นสาวเลยนะจ๊ะ’”
“หนูเห็นแล้วหนูก็รู้สึกทั้งอึดอัดใจรู้สึกว่าเกิดมาเป็นคนคนหนึ่งทำไมต้องเจอปัญหาแบบนี้ตามหลอกหลอนด้วย มันยิ่งทำให้หนูเชื่อและศรัทธาเรื่อง ‘การเคารพซึ่งกันและกัน’ ค่ะ มันเป็นคติประจำใจของหนูเลย หนูคิดว่าคนนั้นหลากหลาย คนละท้องพ่อท้องแม่ มีความคิด ทัศนคติ นิสัย เพศ แตกต่างกันออกไปมากมาย
สำหรับตัวหนู ความหลากหลายคือความสวยงามค่ะ ทุกเพศควรถูกเคารพอย่างไม่มีอคติ ชีวิตคนในกลุ่ม LGBT ไม่ง่ายเลยนะคะ สิทธิพื้นฐานหลายๆ อย่างก็ไม่เท่ากับชายหญิง อย่างหนูถึงแม้จิตใจและร่างกายเป็นหญิงแค่ไหน กฎหมายก็ตีตราความเป็นชายให้หนูด้วยคำนำหน้าชื่ออยู่ดี
ในขณะที่หนูมีความหวังที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงด้านกฎหมาย เห็นกฎหมายที่ยุติธรรมสำหรับทุกๆ คน ทุกๆ เพศ หนูก็อยากให้ทุกคนอย่างน้อยก็เคารพซึ่งกันและกัน เคารพในความแตกต่างของแต่ละคนนะคะ หนูไม่สามารถทำให้ทุกคนมารักมาชอบหนูได้ แต่หนูรู้ตัวค่ะหนูไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเลย แค่ไม่ได้เป็นผู้ชายมันไม่ได้ผิดอะไรนะคะ และหนูก็อยากบอกทุกคนว่าหนูเป็นตัวหนูแบบนี้มาตลอดนะคะ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย มันคือตัวตนคือจิตวิญญาณที่แท้จริงของหนูค่ะ“