สรุป past present future Tense ฉบับเร่งด่วน
สรุป past/present/future Tense
งานสรุป งานติวไฟไหม้ก็มา เมื่อตอนนี้ เราอ่านหนังสือไม่ทัน ผมเลยขอสรุปให้ไปดูกันไปเลย เผื่อใครจะต้องสอบทั้งสาม Tense นี้ จะได้มีอ่านกัน และในเนื้อหานี้ จะทำออกมาแบบไม่ได้ละเอียบยิบอะไรมาก เพราะเอามาจากหัวข้อที่จะสอบในระดับประถมศึกษา ปีที่ 3 ที่ยึดตามหนังสือ และ โรงเรียนเป็นหลัก ซึ่งก็ต้องบอกเอาไว้ตรงนี้เลยว่า มันก็เป็นบางโรงเรียนอีกเช่นกัน ที่สอบ ไม่ใช่ ทุกโรงเรียน บางโรงเรียนอาจจะไม่ได้สอบเนื้อหาเหล่านี้ก็ได้ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เริ่มเลยกัน
Tense คืออะไร หลายคนคงมีคำถาม ว่ามันคืออะไร เพราะว่าเคยได้ถูกยัดเยียด ให้จำโครงสร้างไปเรื่อยเปื่อย โดยที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรว้า เค้าให้จำ ก็จำ ๆ ไปอย่างนั้น แต่สิ่งที่กำลังจะบอกว่า Tense หมายถึงเวลา ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ช่วงเวลา (และในความเป็นจริง มันแยกย่อยออกเป็น 12 แต่ในที่นี้ ขอไม่พูดถึง เพราะมันเยอะหน้า พิม 10 หน้าก็ไม่จบ อย่างที่บอก อันนี้คือสรุป พยายามจะทำให้รวบรัดและชัดเจนมากที่สุด หวังว่าคงไม่มีดราม่าว่าไม่ละเอียดนะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ติอะไรไม่ได้เลย ยังคงติได้เหมือนเดิมจ้า) และก็จะเน้นในส่วนของ simple เท่านั้น ซึ่งจริง ๆ แล้ว ทั้ง past present และ future สามารถใช้คำว่า simple ได้หมด ไม่ว่าจะเป็น past simple / present simple / future simple ซึ่งจริง ๆ แล้ว หลายคนจะเข้าใจว่า เราจะสามารถใช้คำว่า simple กับ present เท่านั้น จริง ๆ แล้ว ไม่ใช้ มันใช้ได้หมดนะคร้าบ หนูน้อย
อย่างที่บอก Tense หมายถึง เวลา ในที่นี้ขอแบ่งออกเป็น 3 ช่วงเวลา ได้แก่
past อดีต present ปัจจุบัน future อนาคต
หลักการใช้
ใช้กับเหตุการณ์ที่จบไปแล้ว ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นปัจจุบัน ใช้กับเหตุการณ์อนาคต
ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นความจริง
อยากให้จำในส่วนของหลักการใช้ก่อน เดี๋ยวค่อยจะพูดในส่วนของโครงสร้าง ถ้าถามว่าเพราะอะไร นั่นเป็นเพราะว่า บางครั้งเราจะไปยึดติดกับโครงสร้างมากเกินไป จนลืมไปว่า เราจะใช้ในสถานการณ์อย่างไร ผมว่า การที่เราสามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตความเป็นจริงนั้น สำคัญกว่ามานั่งจำโครงสร้าง แต่การจำโครงสร้างไม่สำคัญ การจำโครงสร้างสำคัญ และสำคัญมากด้วย เวลาเอาไปสอบ แต่มันจะมีประโยชน์อะไรหละ ถ้าเราจำโครงสร้างแม่น แต่เอาไปใช้ไม่เป็น จริงมั้ย?
ตรงนี้จะพูดในส่วนของโครงสร้าง หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า structure ซึ่ง โครงสร้างของแต่ละ tense มีดังนี้
โครงสร้าง structure past S+V2 present S+V1 s,es future S+will+V1
ตอนนี้หลายคนอาจะจะยังไม่เข้าใจ ทีนี้จะขออธิบายเป็นส่วน ๆ อันแรก คือส่วนของ ประธาน หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Subject ซึ่งผมจะใช้ตัวย่อ ว่า S อีกส่วนคือ ในส่วนของ กริยา หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Verb ซึ่งผมจะใช้ตัวย่อว่า V 5 ซึ่ง ในส่วนแรก จะขอพูดในส่วนของประธาน หรือว่า Subject ก่อน
Subject ประธาน
ความเป็นจริง แล้ว ประธานสามารถแบ่งออกเป็นสองชนิด 1 Noun คำนาม 2. Pronoun สรรพนาม พอถึงตรงนี้ น้อง ๆ หลายคนก็อาจงงอีกแล้วเด้ ว่ามันคืออะไรแว้ เอาเป็นว่า ไม่ต้องมัวแต่งง เรียนกันเลยและกัน
Noun เอาง่าย ๆ เลย คือ คน สัตว์ สิ่งของ และสถานที่ จริง ๆ มันมีหลายประเภท หลายชนิด แต่ตอนนี้เอาแค่นี้ก่อน ไม่งั้นเดี๋ยวมันจะหลุดประเด็น กลายไปเป็นเรื่องคำนาม.....
ความจริงแล้วคำนามถ้าจะแบ่งตามหลักการใช้ แบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ๆ คือ 1.เอกพจน์ (singular) 2 พหูพจน์ (plural) ก็อีกนั่นแหละ จริง ๆ มันมีเยอะกว่านี้ แต่ตอนนี้มันจะสอบ เอาแค่นี้ก่อน อย่าเพิ่งมาเยอะ เดี๋ยวจะมึนตึบ
เอกพจน์ คือคำนามที่มีแค่หนึ่งเดียว นับได้แค่ตัวเดียว คนเดียว เช่น a cat เท่ากับ แมวหนึ่งตัว มี a ก็รู้แล้วว่ามีแค่หนึ่ง ไม่จำเป็นต้องใส่คำว่า one , หรือว่าจะเป็นคน เช่น John ดูชื่อก็รู้แล้วว่าคือมีคนเดียว ที่สำคัญ ไม่มีการใช้ A John นะจ๊า เด็กน้อย ป 3 จริง ๆ ตรงนี้ขอแทรกนิดนะ จริง ๆ แล้วคือเราต้องเรียนไล่มาจากตรงนี้ให้รู้เรื่องก่อน ไม่ใช่โผล่มา เจอเรื่อง Tense เลย จึงไม่แปลก ที่หนูน้อยทั้งหลายจะมึนตึบ เพราะบางที เราเริ่มเรียนในส่วนที่ยาก มันก็ทำให้เราไม่อยากที่จะเรียน
พหูพจน์ คือคำนามที่มากกว่าหนึ่ง ตรงนี้ต้องบอกว่าคำที่มากกว่าหนึ่ง อาจจะเป็นสอง สาม สี่ ห้า หรือหลายตัว/ หลายคน มันไม่จำกัด เช่น two cats เท่ากับ แมวสองตัว แต่ถ้า cats คือแมวหลายตัว ส่วนถ้าเป็นคน จะใช้คำว่า and ที่แปลว่า และแทน ไม่มีการแบบว่าเติม S เช่น John and Jack เป็นต้น เคลียนะ ตรงนี้ต้องเคลียเลยนะ ถ้าไม่เข้าใจ จะไปต่อไม่ได้ เก็ทนะ
Pronoun สรรพนาม คือ คำที่ใช้แทนคำนาม นั่นหมายความว่า คำเหล่านี้ใช้แทน คน สัตว์ สิ่งของ และสถานที่นั่นเอง เช่นบอกว่า มิคไปเดินเล่น มิคกินผัก มิคชอบเต้น มิคเป็นคนน่าร้ากกกกกกกก เราก็จะไม่พูดแบบนี้ไง เราก็จะพูดแบบนี้ คือ มิคไปเดินเล่น เค้ากินผัก เค้าชอบเต้น เค้าเป็นคนน่ารัก สังเกตุว่าเราจะใช้คำว่า เค้า แทน มิค เข้าใจหรือยัง เด็กน้อย ทีนี้ ตัวสรรพนาม มันก็มี หลายสิ่งอย่าง ได้แก่
I ผม
You คุณ
We พวกเรา
They พวกเขา
He เขา( ผู้ชาย 1 คน)
She เขา ผู้หญิง 1 คน
It มัน หรือสิ่งของ 1 สิ่ง
ตรงนี้จะยังไม่พูดบุรุษที่ 1 2 3 นะ เดี๋ยวจะงง ต้องขอพูดดักคอนักวิชาการไว้ก่อน 55555 แต่ถ้าใครงงคำว่าบุรุษก็ไม่เป็นไร ใครรู้ก็ดีแล้ว แต่เราไม่ขอพูดถึง โอเคนะ เอาแค่แปลให้ พอ ...... แต่จะแปลให้อย่าเดียวโดยที่ไม่อธิบายอะไรเลย มันก็แปลก ๆ ไปหน่อย มา อ่านต่อเลย He / She/It ถ้าเราดูจากคำแปล เราก็น่าจะรู้ว่ามันคือ เอกพจน์ ส่วน We They ดูจากคำแปล เราก็น่าจะรู้ว่า มันคือ พหูพจน์ ตรงนี้ถ้าใครงง ว่าเอกพจน์ กับพหูพจน์คืออะไร ย้อนขึ้นไปดูเลย แต่ถ้าใครเข้าใจแล้ว
ต่อเลย ตรงคำว่า You มันเป็นได้ ทั้งเอกพจน์ และพหูพจน์ นั่นหมายความว่า you แปลว่า คุณคนเดียว หรือ you ที่แปลว่า คุณหลายคน ถามว่าและเราจะรู้ได้ไง คำตอบก็คือ เราต้องดูเอาเอง ว่าเค้าพูดกับใครกี่คน แต่เอาจริง ๆ นะ อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะ ห้ามด่านะ รู้ไปก็เท่านั้นอะ เพราะ you มันก็ถูกจัดอยู่ใน กลุ่มของ พหูพจน์อยู่ดี
สุดท้ายคือ I พี่ I ตัวนี้เค้าแปลกแหวกแนวกว่าใครเพื่อนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร จริง ๆ แล้ว ตัวเป็นเอกพจน์ แต่สามารถจัดอยู่ในกลุ่ม ของ You We They เอากับเค้าสิ ใครเป็นคนคิดไม่ต้องไปต้องไปหาเหตุผลว่าทำไม บางครั้ง คำว่าทำไม มันก็หาคำตอบไม่ได้ถ้าใช้กับภาษา เช่น ทำไมตัวอักษร ก ต้องอยู่หน้าสุด/ ทำไมตัวอักษรไทย ต้องมีมากกว่าภาษาอังกฤษ/ ทำไม ทำไม เพราะถ้าต้องถามขนาดนี้ พี่ว่า หนูอย่าเรียนภาษาเลย ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ เพราะจริง ๆ แล้ว ภาษาอังกฤษ คือหนึ่งในวิชาบังคับ ที่เค้าเรียนกันทั่วโลก ฝรั่งก็เรียน คนไทยก็เรียน ไม่ใช่คนไทยต้องจำอย่างเดียว ฝรั่งเค้าก็มีการท่องจำเหมือนกัน hello ตื่นจากความฝันได้แล้ว ไม่ใช่เราตะบี้ตะบันจำกันอย่างเดียว แต่เมืองนอกเค้าดีกว่าเราตรงที่ ครู เค้าจะบอกที่มาที่ไปมากกว่านี้ วันนี้พอแค่นี้ก่อนเพราะว่าคนเขียนชักง่วงและ ใครที่ไม่มีความรู้ แต่มีสอบพรุ่งนี้ ขอให้เดาถูกและกัน ส่วนใครสอบ อีกสองสามวัน พรุ่งนี้ เจอกัน จะมา up เนื้อหาเพิ่ม