สุดเฮี้ยน! อาถรรพ์วิญญาณ "แม่บัวลอย" ยังอยู่ริมคลองบางกอกน้อย เข้าฝัน "ขอเสื้อผ้า"
ดังที่เคยเล่าไว้ เมื่อบทที่แล้วว่า ที่มาของบทเพลงบางกอกน้อย ที่ร้องว่า "สุดคลองบางกอกน้อยพายเรือตามหาบัวลอย จนเหงื่อพี่ย้อยโทรมกาย"
ทางทีมข่าวได้ไป ตรงสถานที่ "สุดคลองบางกอกน้อย" ที่อยู่ในเพลง ซึ่งที่แห่งนั้น ก็อยู่บริเวณใกล้กับท่าน้ำของวัดชลอ เราจึงมาหาข้อมูล ณ จุดนี้ ... สถานที่ที่ซึ่งมี "ศาลแม่บัวลอย" อยู่ตรงริมท่าน้ำ และได้รับทราบเรื่องราวของแม่บัวลอยจาก พระครูปลัดทนงค์ เจ้าอาวาสวัดชลอรูปปัจจุบัน ท่านเล่าว่า
มีหญิงสาวนางหนึ่ง มีอาชีพพายเรือขายขนมในคลองบางกอกน้อย ใครๆ ก็เรียกชื่อเธอ ตามชื่อของขนมว่า "บัวลอย" วันหนึ่งด้วยความเหน็ดเหนื่อยจึงเป็นลม และพลัดตกน้ำไป ศพของเธอก็ลอยมาติดที่วัดขี้เหล็ก เมื่อตามหาญาติๆ ไม่เจอ จึงได้นำศพของเธอมาต้มแล้วเผา (วิธีทำศพแบบโบราณของชาวบ้าน) เหลือแต่เถ้ากระดูก
พระจึงได้นำกระดูกมาไว้ศึกษาเป็นมรณานุสติ ปรากฎว่าความเฮี้ยนของแม่บัวลอย เป็นที่เลื่องลือไปทั่ว เที่ยวหลอกแม้กระทั่งพระ เณร และเด็กนักเรียน จึงได้ย้ายมาตั้งไว้ที่วัดพิกุลทอง จากนั้นหลวงพ่อสุเทพ (อดีตเจ้าอาวาสวัดชลอ) จึงได้ย้ายโครงกระดูกมาที่วัดชลอ จนถึงปัจจุบัน
กระนั้น อภินิหารความเฮี้ยนของแม่บัวลอย ก็มีเรื่องให้เล่าขานไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าจะไปตั้งอยู่แห่งหนตำบลไหนก็ตาม จนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วคุ้งน้ำ โดยเฉพาะเรื่องการให้เลขเด็ด ถึงขนาดไปเข้าฝันชาวต่างชาติชาวสิงคโปร์
ให้โชคลาภ แล้วบอกด้วยว่า ตนเองชื่อบัวลอย อยู่ที่วัดชลอ ให้มาตามหา จนผู้โชคดีชาวสิงคโปร์ต้องตามมาสร้างศาลให้ (ศาลปัจจุบันที่เห็นอยู่นั่นเอง) ...
ทั้งนี้ ในเรื่องประสบการณ์ความเฮี้ยนของแม่บัวลอย ก็ยังมีเรื่องร่ำลือกันอยู่จนทุกวันนี้ เมื่อกลางปีที่ผ่านมานี้เอง อ.ทิพย์วารี ซึ่งเป็นทีมงาน “ปาฏิหาริย์” ก็ได้เจอประสบการณ์ความเฮี้ยน ของแม่บัวลอย และได้นำมาเล่าสู่ให้ทีมข่าวเราได้ฟังกัน อ.บอกว่า ในครั้งที่ไปสัมภาษณ์เรื่องราวของแม่บัวลอยนั้น ท่านเจ้าอาวาส พระครู ....... เป็นผู้เล่าเรื่องราวให้ฟัง
ด้วยความอยากรู้ ก็เลยถามออกไปว่า “พระอาจารย์ยังคิดว่าวิญญาณของแม่บัวลอย ยังอยู่ที่นี่ไหม”
พระอาจารย์ท่านตอบว่า “เชื่อว่ายังอยู่”
เท่านั้นล่ะ อ.ทิพย์วารีก็รู้สึกได้ถึง ลมที่มีลักษณะเป็นก้อนใหญ่ๆ วิ่งเข้ามากระแทกที่หน้าและช่วงอก แล้วก็หายไป เธอเล่าให้ทีมข่าวฟังว่า “คิดว่าแม่บัวอยคงอยากแสดงให้รู้ว่า ยังอยู่ที่ศาลแห่งนี้”
แต่เรื่องไม่ได้จบลงแต่เพียงเท่านั้น... พอตกกลางคืน อ.ทิพย์วารี เธอก็ฝันเห็นผู้หญิงผมยาวคนหนึ่ง ในใจนึกรู้ขึ้นมาเองว่า นื่คือ “แม่บัวลอย”
แม่บัวลอยเธอเอ่ยขึ้นว่า
“ไม่ได้ใส่แค่ชุดไทยโบราณอย่างเดียวนะ ชุดแบบนี้ก็ใส่ได้”
ว่าแล้วก็เนรมิตให้ดู ว่า “ชุดแบบนี้” ที่เธอพูดถึงนั้น... มีลักษณะเป็นเสื้อลูกไม้ (เหมือนที่คุณป้า คุณน้าชอบไปวัดกัน) แขนสั้น สีครีม กับผู้ถุงสำเร็จลวดลายงดงาม พอเนรมิตให้ดูเรียบร้อยแล้วเธอก็หายวับไป
วันถัดมา อ.ทิพย์วารี จึงไปหาซื้อเสื้อผ้าในห้างสรรพสินค้าใกล้ที่ทำงาน พอเห็นเสื้อลูกไม้แบบสมัยนิยม ก็ปรี่เข้าไปเลือกดู เห็นแต่สีฉูดฉาดสดใสทั้งนั้น ใจหนึ่งจะซื้อสีสดๆ ทว่าอีกใจก็คิดว่าในฝันเสื้อสีอ่อนๆ แต่ตรงที่ยืนเลือกอยู่ไม่มีสีอ่อนๆ เลย จึงเอ่ยปากถามแม่ค้า “มีสีออกขาวๆ หรือครีมๆ ไหมคะ”
สรุปว่าแม่ค้าไปค้นกระสอบเสื้อ และหยิบเสื้อตัวหนึ่งมาให้ อ.ทิพย์วารีถึงกับอึ้ง เมื่อเห็นว่า เสื้อตัวที่แม่ค้ายื่นนั้นเหมือนกับความฝันทุกประการ แถมที่ร้านเดียวกันนั้น ก็ยังได้ผ้าซิ่นที่ดูคล้ายในความฝันมากๆ อีกด้วย
นี่จริงเป็นอีกเรื่องราวที่เป็นสิ่งยืนยันได้ว่า “แม่บัวลอย”ยังคงอยู่ตรงสถานที่ตรงนั้น ณ ที่ที่ใกล้สุดคลองบางกอกน้อย ศาลริมน้ำ วัดชะลอ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี