รักแท้มีอยู่จริง เปิดเรื่องราว “แพทย์หญิง” กับ “หนุ่มโซเฟอร์ขับแท็กซี่”
ประทับใจของชีวิตแท็กซี่จิตอาสา คุณ “สุวรรณฉัตร พรหมชาติ” ฮีโร่ของผู้ป่วย คนพิการ ที่เขามีภรรยาคู่บุญ คือ “พญ.จำเนียร พรหมชาติ” หรือ “คุณหมอจำเนียร” นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ ด้านเวชปฏิบัติทั่วไป ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการ รพ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา ทำให้หลายคนสงสัยว่าทั้งสองมาพบรักกันได้อย่างไร
คุณหมอจำเนียร ได้เปิดใจถึงความรักว่า เราผ่านการมีครอบครัวมาแล้วทั้งคู่ ตนคิดว่าเป็นช่วงจังหวะของชีวิต เพราะผ่านอะไรมาก็มากแล้ว ไม่ได้เป็นความรักหวือหวาอะไร หากถามว่ารู้จักคุณเดี่ยว (ชื่อเล่นของสุวรรณฉัตร) ได้อย่างไร ต้องตอบว่า ตนเห็นคุณเดี่ยวทำงานด้านจิตอาสาและติดตามคุณเดี่ยว บนเฟสบุ๊กเกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้ป่วย พิการ
จึงหาข้อมูลว่าเขาได้ช่วยเหลือสังคมจริงหรือไม่ โดยติดตามดูเขาไปเรื่อยๆ ก็เห็นว่าเขาช่วยเหลือคนป่วยจริงๆ ตนจึงอยากร่วมบุญช่วยให้เขาทำความดีต่อไป จึงได้โทรศัพท์ไปบอกคุณเดี่ยวว่า “จะช่วยค่าโทรศัพท์เดือนละ 500 บาท” นั่นคือจุดเริ่มต้นที่เราได้รู้จักกัน
หลังจากนั้นมาก็ได้ช่วยบุญกันมาเรื่อยๆ ต่อมาตนคิดว่านอกจากช่วยค่าโทรศัพท์แล้วเราจะช่วยเหลืออะไรคุณเดี่ยว ได้มากกว่านี้อีก จนกระทั่งฉุดคิดได้ว่าเราเป็นแพทย์และเห็นเขาไปอุ้มผู้ป่วยที่พิการ นอนติดเตียง และต้องช่วยเครื่องหายใจ
คนไข้บางคนไม่รู้สิทธิ์ของตัวเองว่าสามารถใช้สิทธิ์เบี้ยคนพิการได้คนละ 800 บาท และลูกหลานก็สามารถเอาไปลดหน่อยภาษีได้ จากนั้นตนจึงเข้าไปช่วยคุณเดี่ยว ทำงานในเรื่องนี้เพื่อเป็นการต่อยอดให้การทำงานโดยเฉพาะคนป่วยได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น
“กว่าเรา 2 คนจะมาถึงวันนี้ได้ก็ต้องต่อสู่กับสายตาของผู้คนรอบข้าง สังคม หรือแม้กระทั้งคนใกล้ตัว ญาติ พี่น้อง ที่เขาไม่เห็นเห็นด้วย ซึ่งถ้าเรามั่นใจในตัวเขา เราเลือกเขา หากไปฟังจากคนนั้นคนนี้ก็คงไม่มีมาถึงวันนี้ เรามั่นใจเพราะเราศึกษาเขามาแล้วและมั่นใจว่าเขาเป็นคนที่ดูแลเราได้ และเป็นกำลังใจให้กันได้ไปจนกว่าจะแก่เฒ่าไปด้วยกัน
เราไม่ต้องไปสนใจในคำพูดเขาหรือคำพูดของใคร เพราะมันจะเป็นการทำลายจิตใจเรา แต่ในมุมกลับกันมีคนที่ติดตามคุณเดี่ยวกลับชื่นชม และเป็นกำลังใจให้เรา แต่ทุกวันนี้ทุกฝ่ายยอมรับเราแล้วทั้งผู้คนรอบข้าง ญาติ พี่น้อง” พญ.จำเนียร กล่าว
แ “การที่จะอยู่ด้วยกัน สุขหรือทุกข์เรา 2 คนคือคนที่จะรับรู้ ไม่ใช่ว่าเรามาออกสื่อแล้วรักกัน พอกลับไปบ้านแล้วทะเลาะกันมันไม่ใช่ เพราะหากเราอยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข เราไม่ต้องไปบอกให้ใครเขารู้หรอก เพราะทุกวันนี้เราอยู่ด้วยกัน และมีความสุขดี”
พญ.จำเนียร ได้เผยว่า สำหรับ “สุวรรณฉัตร” ไม่ใช่คือจุดเริ่มต้นของการทำจิตอาสาของตน แต่สมัยตอนเรียนแพทย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตนก็ชอบทำเกี่ยวกับจิตอาสาอยู่แล้ว เมื่อมาเจอคุณเดี่ยว ก็ทำให้ความรู้สึกเก่าๆ กลับคืนมา
และทุกวันนี้ตนก็แบ่งงานเป็นช่วง คือ จันทร์-ศุกร์ทำงานตามเวลาราชการที่โรงพยาบาล ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ ก็มาช่วยคุณเดี่ยว ทำจิตอาสาทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งมาทำโต๊ะเก้าอี้เพื่อแจกให้กับโรงเรียนในถิ่นทุรกันดารที่ “ศูนย์ฝึกงานไม้ศิษย์เอก” ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม แห่งนี้ด้วย
“ทุกวันนี้ทำในสิ่งที่เป็นตัวเราเอง แต่ก็ยังคิดเหมือนกันนะว่าทำไมเราไม่แต่งตัวสวยๆ เหมือนกับผู้หญิงคนอื่นทั่วๆ ไป ปรากฎว่าเคยแต่งหน้าแล้วทำให้เสียเวลา ก็ไม่เอาดีกว่า แต่ถ้าจะแต่งเหมือนกันก็เฉพาะงานสำคัญเท่านั้น เช่นงานที่คุณเดี่ยว ได้รับรางวัล ก็แต่งหน่อย แต่ส่วนใหญ่จะไม่แต่งปล่อยตามธรรมชาติ
“หากจะเรามองคนหรือดูคนอย่าไปมองที่อาชีพหรือหน้าตา ฐานะ หรือรายได้ ให้ดูสิ่งที่เขาทำว่าทำอะไร และให้คนอื่นเดือดร้อนหรือไม่ ทุกคนสามารถทำสิ่งดีๆ ให้กับครอบครัว สังคมได้
เราเริ่มจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก่อน เช่น ขับรถให้มีน้ำใจต่อกัน เป็นต้น ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับคนอื่น คนเป็นหมอได้เงินเป็นล้านเป็นแสนไม่ต้องไปสนใจ เพราะเราทำตรงนี้แล้วเรามีความสุข เพียงแค่ออกใบอนุญาตให้คนป่วยเพียงใบเดียวผู้ป่วยก็ดีใจมากแล้ว”
ส่วนคุรเดี่ยว – สุวรรณฉัตร พรหมชาติ แท๊กซี่จิตอาสา ไดเเปิดเผยถึงความสัมพันธุ์ตั้งแต่ที่รู้จักกับคุณหมอจำเนียร ให้ทีมงานฟังว่า ก่อนที่ตนจะพบกับคุณหมอจำเนียร ยอมรับว่าได้มีคนติดต่อมาหาตนหลายคนล้วนแต่เป็นสาวใหญ่ที่มีฐานะ
บ้างบอกว่ามีสมบัติแต่ไม่มีคนสืบทอด จึงอยากให้มาอยู่ด้วย บ้างก็เสนอเสนอบ้านและรถให้ แต่ต้องให้ตนเลิกทำจิตอาสาแล้วไปอยู่ด้วยกัน ซึ่งตนก็เลือกที่จะปฏิเสธ เพราะตนทำตรงนี้มาหลายปีแล้ว
แต่ตรงกันข้ามกับคุณหมอจำเนียร ที่คุณหมอคนเดียวเท่านั้นที่เป็นผู้ร่วมทำบุญกับผมมาตั้งแต่ต้น ซึ่งอาจจะเป็นโชคชะตาที่ทำให้เราสองคนมาเจอกัน ในเรื่องของจิตใจที่ทำจิตอาสาด้วยกันและช่วยเหลือผู้อื่นมาด้วยกัน
ซึ่งคุณหมอก็จะออกใบรับรองให้สำหรับคนพิการไม่ว่าจะพิการทางสมอง หรือร่างกาย ซึ่งได้ทำให้การทำงานของตนกับผู้ป่วยสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น ตรงนี้เองจึงทำให้เรามีความใกล้ชิดกันและมองเห็นความดีของกันและกัน
“จิตใจของคุณหมอสูงส่งมากที่ยอมลดระดับความเป็นหมอและเสียสละลงมาคบหากับคนที่มีวุฒิแค่เพียง ป.2 และก็ขับแท็กซี่อย่างผม เนื่องจากสังคมส่วนใหญ่มักจะมองคนขับแท๊กซี่ในแง่ลบ
แต่ทั้งนี้ผมก็มองว่าคนที่จะมาอยู่กับเราได้ก็ต้องเป็นคนที่เสียสละส่วนตัวทั้งรายได้ เงิน ทอง ทุกอย่างเลย ซึ่งคุณหมอก็ยอมลดตัวลงมาเพื่อที่จะมาใช้ชีวิตกับผม ผมรู้สึกว่าคนแบบนี้หายากมา ถึงอายุเราจะต่างกัน 8-9 ปี มันก็เป็นแค่ตัวเลข แต่สำคัญ คือ ความดี”
“ตอนแรกลูกของคุณหมอไม่เปิดใจรับผม เพราะกลัวว่าแท็กซี่จะมาเกาะแม่เขา แต่พอวันหนึ่งเขารู้เรื่องราวของเรามากขึ้น จนกลายเป็นว่าลูกทั้ง 2 คน ของคุณหมอมาออกงานจิตอาสาด้วย
เวลาไปบริจาคเก้าอี้ให้กับเด็กๆ ชนบท แม้แต่คุณแม่ของคุณหมอเห็นหน้าผมก็พูดว่า “มาทำไม” แต่ทุกวันนี้เวลาเราไปบริจาคโต๊ะ เก้าอี้ เด็กนักเรียนแม่ก็อยากไปด้วย ตอนนี้แม่ภรรยาก็เหมือนแม่ของผม”
“เมื่อคุณหมอเข้ามาในชีวิตผม นอกจากจะช่วยผู้ป่วยและคนพิการทั่วไปแล้วยังได้ช่วยเหลือคุณพ่อผมที่มีปัญหาเรื่องดวงตามองไม่เห็นข้างหนึ่ง เนื่องจากทำงานแล้วเศษอิฐกระเด็นเข้าไป แต่เขาไม่ทราบนึกว่าตาบอดเพราะว่าอายุมากแล้ว
คุณหมอจึงส่งเรื่องไปให้แพทย์ที่จังหวัดพัทลุงดูให้ ตอนนี้พ่อผมตามองเห็นแล้ว ไปไหนมาไหนได้สบาย นี่คือสิ่งที่ทำให้เราทั้งสองใช้ชิวิตคู่กันมาอย่างมีความสุข และเราทั้งสองก้จะทำงานจิตอาสาต่อไป” สุวรรณ
แหล่งที่มา: https://www.esancity.com