7 เรื่องลึกลับสยองขวัญ
7 เรื่องราวต่อไปนี่คือเรื่องสยองขวัญลึกลับที่ผมเลือกเรื่องที่คิดว่าน่ากลัว อ่านแล้วขนลุก และหลายคนอาจไม่ค่อยได้ยิน
มามัดรวมเอาไว้เพื่อให้ทุกคนได้อ่านกัน ต้องขอบคุณอินเทอร์เน็ตที่สรรหาเรื่องราวเหล่านี้ให้คนทั่วโลกได้อ่าน
7. โทรศัพท์จากความตาย (Calls From The Dead)
โทรศัพท์จากความตายเป็นเรื่องธรรมดาในนิยายและภาพยนตร์ เกี่ยวกับคนตายได้ใช้โทรศัพท์มาบอกลาคนรักและครอบครัว แน่นอนว่ามันน่าขนลุกและน่ากลัว หากแต่เรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรื่องจริง
เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2008 รถไฟสองขบวนได้ชนกันในย่านแชตสเวิร์ท ของลอสแอนเจลีส อุบัติเหตุนี้มีผู้เสียชีวิตถึง 25 คน
หนึ่งในผู้โดยสารก็มีชาร์ล อี. เปค (Charles E. Peck) ที่กำลังเดินทางจากเมืองซอลท์เลคไปสัมภาษณ์งานในลอสแอนเจลิส
รวมอยู่ด้วย ซึ่งเขาหวังกับงานนี้มาก และเขาก็มีคู่หมั้นชื่อแอนเดรียน แคทซ์ (Andrea Katz) ที่อาศัยอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย
และเขาก็วางแผนที่จะแต่งงานกับเธอถ้าเขาได้รับการว่าจ้าง
ในช่วงสิบเอ็ดชั่วโมงหลังเกิดอุบัติเหตุ คู่หมั้นของเขา, ลูกชาย, พี่ชาย, แม่เลี้ยง และน้องสาว ได้รับสายโทรศัพท์จำนวนมาก
จากโทรศัพท์มือถือของชาร์ลส์ โดนรวมแล้วคนที่เขารักได้รับ 35 สาย แม้ว่าพวกเขาจะพยายามโทรกลับ แต่พวกเขาก็ได้ยิน
เสียงไม่ชัด หรือไม่ก็ข้อความตอบรับเท่านั้น แต่พวกเขายังมองโลกในแง่ดีว่าชาร์ลส์ยังมีชีวิตอยู่ในซากปรักหักพังและกำลัง
เรียกเพื่อขอความช่วยเหลือ
ในที่สุดเมื่อทีมค้นหาตรวจสอบสัญญาณโทรศัพท์ของชาร์ลส์ ก็พบว่าเขาเป็นศพในรถโดยสารไปแล้ว โดยสภาพบาดเผล
เห็นได้ชัดว่าเขาบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตเกือบทันที จนไม่สามารถเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะโทรศัพท์ไปหาครอบครัวได้
และที่น่าแปลกคือพวกเขาไม่พบโทรศัพท์ของชาร์ลส์ในที่สุดเหตุเลยแม้แต่น้อย......
6. เรื่องแปลกของเอลิซ่า แลม (The Strange Case Of Elisa Lam)
มันเป็นเรื่องลึกลับและน่ากลัว เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2013 สาวชาวเอเซีย-แคนาดาอายุ 21 ปีคนหนึ่งชื่อเอลิซ่า แลม ได้หายตัวไปจากโรงแรมเซซิล (Cecil Hotel ) ใจกลางเมืองลอสแอนเจลิส สามสัปดาห์ให้หลังคนงานซ่อมบำรุงได้ไปตรวจสอบถังเก็บน้ำ หลังจากแขกที่มาพักบอกว่าน้ำเน่าเหม็นแบบแปลกๆ และเมื่อตรวจสอบหนึ่งในถังเก็บน้ำบนชั้นบนของโรงแรม พวกเขาก็พบศพอลิซ่า แลม จมในน้ำในถัง จากการชันสูตรก็ไม่พบร่องรอยบาดเจ็บ หรือยาเสพติดใดๆ ทั้งสิ้น และสาเหตุการตายคือจมน้ำ ดังนั้นตำรวจจึงสรุปว่าเป็นอุบัติเหตุจมน้ำเสียชีวิต
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าจะมีการพบเอลิซ่า แลมเป็นศพนั้น ตำรวจได้ปล่อยคลิปเบาะแสตามหาอลิซ่า แลมจากเทปจากวีดีโอวงจรปิดที่บันทึกภาพเธอขณะใช้ลิฟท์ครั้งสุดท้ายนั้น ได้ทำให้หลายคนขนหัวลุกไปตามๆ กัน เพราะสิ่งที่ปรากฏในภาพนั้นไม่สามารถอธิบายได้
ภาพกล้องวงจรปิด ถ่ายเมื่อเวลา 1.31 นาฬิกา ความยาว 4 นาที กล้องจับภาพเอลิซ่ากดปุ่มลิฟท์เพื่อหวังทำงาน แต่ลิฟท์ก็ไม่มี
ทีท่าว่าจะทำงาน ประตูลิฟท์เปิดค้างไม่ยอมเลื่อนปิด เวลานั้นเองจู่ๆ เธอก็เริ่มแสดงพฤติกรรมประหลาดที่ไม่สามารถอธิบายได้
เหมือนกับว่ามีบางอย่างน่ากลัวที่กำลังใกล้เข้ามา เธอกังวลอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นก็พยายามกดปุ่มลิฟท์หลายครั้ง แต่ประตูลิฟท์ก็ยังค้างอยู่อย่างงั้น หลังจากนั้นเธอก็ออกนอกลิฟท์แล้วคุยอะไรบางอย่างที่ไม่มีตัวตน พร้อมทำภาษามือในลักษณะประหลาด ก่อนที่เดินห่างจากตัวลิฟท์ หายไปจากหน้าจอ ไม่รู้ว่าเธอไปที่ใด จากนั้นจู่ๆ ลิฟท์ก็เลื่อนเปิด –ปิดเอง ทั้งที่เวลานั้นไม่มีใครเข้ามาใช้บริการลิฟท์เลยแม้แต่น้อย และนั่นเป็นภาพสุดท้ายของเอลิซ่าที่ยังมีชีวิตอยู่
หลังจากที่เอลิซ่าออกจากลิฟท์ รู้เพราะอะไร เธอผ่านระบบความรักษาความปลอดภัยของโรงแรม ขึ้นไปบนด่านฟ้าของโรงแรม เดินไปยังถังเก็บน้ำ เปิดถังน้ำที่หนักเกินกว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะเปิดได้ จากนั้นก็โดดลงเพื่อจมน้ำตาย แน่นอนว่ามีข้อสันนิษฐานมากมาย เป็นต้นว่า เธอมีอาการจิตเภทโรคสองขั้ว เห็นภาพหลอน ไปจนถึงเธอเห็นอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายอะไรทางวิทยาศาสตร์ ก่อนพบจุดจบแบบสยอง
และเมื่อตรวจสอบประวัติโรงแรมก็พบเรื่องแปลกประหลาดมากมายเพราะมันเคยเป็นที่อยู่อาศัยของฆาตกรต่อเนื่อง และมีสถิตแขกที่มาพักฆ่าตัวตายสูงมากผิดปกติ จนบัดนี้ยังไม่มีใครอธิบายภาพวาระสุดท้ายของเอลิซ่า แลมได้เลยว่าเธอเห็นอะไรกันแน่?
5. อีเมล์จากหลุมศพ (Emails From The Grave)
แจ็ค ฟรอสต์ (Jack Frost) เสียชีวิตจากหัวใจเต้นผิดปกติเมื่อเดือนมิถุนายน 2011 ขณะอายุได้ 32 แน่นอนว่ามันโชคร้าย แต่มันเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องน่าขนลุก ในเดือนพฤศจิกายนเพื่อจองแจ๊คแต่ละคนได้รับอีเมล์ที่ส่งมาจากอีเมล์ของแจ็ค ทั้งๆที่เพื่อนและครอบครัวของแจ็คยืนยันว่าไม่มีใครรู้รหัสผ่านอีเมล์ของเขา และไม่มีใครเข้าไปใช้อีเมล์เขาแน่นอน
ที่แปลกคือเนื้อหาของอีเมล์เป็นข้อความที่มีเพียงแค่แจ๊คและคนที่แจ๊คส่งเท่านั้นที่เข้าใจ เป็นต้นว่า
“clean his f***ing attic” ( “ทำความสะอาดห้องใต้หลังคาละ” )
ซึ่งเป็นการสนทนาส่วนตัวไม่นานก่อนที่แจ๊คจะเสียชีวิต อีเมล์ยังถูกส่งไปยังญาติของเขา ข้อความว่า
“ผมรู้นะว่าข้อเท้าของคุณบาดเจ็บ”
ซึ่งการบาดเจ็บที่ว่าเกิดขึ้นเพียงหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่อีเมล์จะส่งถึง แม้หลายคนจะบอกว่าเป็นฝีมือของแฮกเกอร์โรคจิต
แต่ญาติและเพื่อนของแจ๊คคิดว่าเป็นฝีมือของแจ๊คที่ตายไป แล้วเขาก็ยังคงส่งอีเมล์จากอีกภพหนึ่งก็เป็นไปได้
4. ฝาแฝดผู้ไม่ยอมพูด (The Silent Twins)
เรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรื่องน่ากลัวของเจนนิเฟอร์ และ จูนนี่ กิบบอนที่ส์เติบโตขึ้นมาในเวลส์ โดยฝาแฝดคู่นี้มีหน้าตาเหมือนกันมากจนแยกไม่ออก และมีนิสัยแปลกๆ ตั้งแต่เด็ก หลายคนเรียกเธอว่า “ฝาแฝดไม่ยอมพูด” เพราะพวกเธอไม่ยอมคุยกับคนอื่นเลยนอกจากคุยกันเองสองคน ถึงขนาดมีภาษาเฉพาะที่ใช้คุยกันและไม่มีใครฟังรู้เรื่อง
นอกจากไม่ยอมพูดกับคนอื่นแล้ว ทั้งสองยังไม่ยอมอ่าน พูด หรือเขียนอะไร (ที่โรงเรียนยังโดนกลั่นแกล้งบ่อยครั้ง) แต่เมื่ออยู่ที่บ้าน ทั้งสองอ่านหนังสือเป็นจำนวนมากหลากหลายประเภท อีกทั้งยังเขียนไดอารี และแต่งนิยายที่มีเนื้อหารุนแรงและรักร่วมเพศต้องห้าม
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ออกจะสลับซับซ้อน ถึงแม้ทั้งคู่จะสนิทกันมากชนิดว่าไม่ยอมแยกจากกัน แต่บางครั้งทั้งสองก็พยายามจะฆ่ากันเอง ครั้งหนึ่ง เจนนิเฟอร์ รัดคอจูนนี่ ด้วยสายไฟจากวิทยุ ส่วนอีกครั้งจูนนี่ ก็ผลักเจนนิเฟอร์ ตกจากสะพานเพื่อหวังให้จมน้ำ พฤติกรรมแปลกๆ แบบนี้ติดตัวไปจนถึงเมื่อโตและในที่สุดก็กลายเป็นนิสัยขี้ขโมยและชอบวางเพลิง ส่งผลให้ทั้งคู่ถูกวินัยฉัยว่าเป็นโรคทางจิตเวช และถูกส่งไปยังโรงพยาบาลโรคจิตที่มีระบบรักษาความปลอดภัยหนาแน่นที่สุดในประเทศอังกฤษ
เป็นเวลา 14 ปีกว่าที่ทั้งคู่อยู่ในฐานะนักโทษโรงพยาบาล ในที่สุดทั้งสองก็พูดคุยกับนักข่าวซึ่งตีพิมพ์หนังสือชีวประวัติของพวกเธอว่า ใครคนใดคนหนึ่งจะต้องตายในโรงพยาบาลนี้ และทั้งคู่ได้ตัดสินใจกันแล้วว่า คนนั้นก็คือเจนนิเฟอร์และด้วยความบังเอิญหรืออย่างไรก็ไม่อาจรู้ได้ ในวันที่ทั้งสองจะได้ย้ายไปอยู่โรงพยาบาลที่ระบบคุ้มกันแน่นหนาน้อยกว่า เจนนิเฟอร์ ก็เสียชีวิตกะทันหันจากโรคหัวใจที่หาได้ยาก ส่วนจูนนี่ ปัจจุบันนี้ก็อาศัยอยู่อย่างสงบกับครอบครัวของเธอ
3. ใครยัดเบลล่าไว้ในต้นวอทช์ เอล์ม (Who put Bella in the Wych Elm?)
หนึ่งในคดีที่ลึกลับและแปลกมาก เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 18 เมษายน 1943 เด็กชายสี่คนได้รุกล้ำเข้าไปในป่าฮัควูดส์ (Hagley Woods) ใกล้วอทช์บิวรี่ ฮิลล์ ( Wychbury Hill) สเตาร์บริดจ์ ประเทศอังกฤษ พวกเขาได้พบต้นวอทช์ เอล์ม ขนาดใหญ่ต้นหนึ่ง ซึ่งเหมาะสำหรับในการล่านก พวกเขาจึงพยายามปีนต้นไม้สำรวจ ขณะที่ปีนเขาก็มองลงไปในกลางลำต้นกลวง พวกเขาก็พบกะโหลกศีรษะหนึ่งหัว ตอนแรกเชื่อว่ามันเป็นของสัตว์ แต่หลังจากพิจารณาถี่ถ้วนแล้วก็พบว่ามันเป็นกะโหลกศีรษะของมนุษย์ที่มีเส้นผมติดอยู่ พวกเขาตกใจและหนี และตกลงกันว่าจะไม่บอกใคร (เพราะกลัวตำหนิว่าบุกรุกที่ดินคนอื่น)
อย่างไรก็ตาม หลังกลับบ้าน เด็กอายุน้อยที่สุดในกลุ่มรู้สึกไม่สบายใจ จึงบอกเรื่องนี้แก่พ่อแม่แล้วแจ้งตำรวจ เมื่อตำรวจสำรวจลำต้นของต้นไม้ก็พบโครงกระดูกของมนุษย์ รองเท้า แหวนแต่งงาน และเสื้อผ้าบางส่วน แต่ที่แปลกคือมือถูกตัดออก และมันถูกฝังอยู่ในพื้นดินใกล้กับต้นไม้ที่พบโครงกระดูก
หลังจากชันสูตร พบว่าผู้ตายเป็นผู้หญิง น่าจะตายอย่างน้อย 18 เดือน สาเหตุการตายพบผ้าแพรแข็งในปากของเธอทำให้เชื่อว่า
ขาดอาการหายใจ แล้วฆาตกรยัดต้นไม้ ซึ่งสภาพในต้นไม้นั้นอบอุ่นทำให้ศพเกิดสภาพแข็งทื่อหลังตาย ทำให้ศพไม่สามารถเอาออกจากโพรงไม้ได้
ปัญหาในการสืบหาคดีคือตำรวจไม่ทราบว่าผู้ตายเป็นใคร เพราะตอนนี้อยู่ในช่วงสงครามโลก การระบุตัวตนของบุคคลเต็มไปด้วย
ความยากลำบาก เพราะช่วงนี้มีแต่คนตาย และมีหลายคนที่หายไป ทำให้ไม่มีใครสามารถระบุได้ว่าผู้หญิงที่ตายคนนี้เป็นใคร
และใครเป็นคนฆ่า
ส่วนสาเหตุที่หลายคนเรียกศพว่า “เบลล่า” นั้นเชื่อว่าเป็นโสเภณีที่ชื่อเบลล่าที่หายไป หรืออาจเป็นในปี 1943 มีข้อความลึกลับ
ปรากฏในกำแพงในเมืองเบอร์มิ่งแฮม เขียนเอาไว้ว่า “ใครยัดเบลล่าไว้ในต้นวอทช์ เอล์ม” และต่อมามันก็ปรากฏตามที่ต่างๆ
2.เอ็ดเวิร์ด มอร์เดรก (Edward Mordrake)
ข้อมูลจาก http://pantip.com/topic/31369631
เรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรื่องจริง และเป็นเรื่องน่ากลัวอีกเรื่อง โดยเป็นเรื่องของเป็นตำนานของคนสองหัว เอ็ดเวิร์ด มอร์เดรก เป็นชายชาวอังกฤษที่มีชีวิตอยู่ช่วงต้นศตวรรษที่ 19 จากข้อมูลที่เล่าต่อกันมา
“หนึ่งในความแปลกประหลาดกับเรื่องราวที่เศร้าที่สุดของความผิดปกติของมนุษย์ เรื่องของเอ็ดเวิร์ด มอร์เดรก เขาได้รับเลือก
เป็นทายาทขุนนางระดับสูงของอังกฤษ หากแต่เขาไม่เคยอ้างชื่อตำแหน่ง และฆ่าตัวตายขณะอายุ 23 ปีเท่านั้น ”
เอ็ดเวิร์ดอาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล และปฏิเสธการรับแขกแม้แต่สมาชิกในครอบครัวเขาเอง เขาเป็นชายหนุ่มที่มีความรู้ เป็นนักวิชาการ และนักดนตรีที่หาตัวจับยาก เขามีหน้าตาที่หล่อเหล่า หากแต่สิ่งที่แปลกคือเขามีอีกหนึ่งใบหน้า อีกหน้าหนึ่งที่ด้านหลังของศีรษะ เหมือนเนื้องอก ใบหน้าที่สองหน้าตาเหมือนผู้หญิงแม้นไม่สามารถพูดหรือกินอาหารได้ แต่มันสามารถแสดงอารมณ์ หัวเราะ และร้องไห้ได้ ราวกับมีความรู้สึกนิดคิดของตัวเอง
เอ็ดวาร์ดเกลียดชังใบหน้านี้มาก เขาเรียกมันว่าปีศาจ เพราะมันคอยกระซิบสิ่งชั่วร้ายแก่เขาตลอดเวลา แม้แต่ตอนกลางคืนมันก็คอยกระซิบกระซาบอันน่ารำคาญอยู่เสมอ หากเขาร้องไห้มันจะยิ้มและหัวเราะเยาะ ส่วนดวงตาก็คอยมองตามผู้คนที่มองมัน ส่วนริมฝีปากนั้นเล่าก็เจื้อยแจ้วไม่หยุด ถึงแม้ ไม่มีใครได้ยินเสียงของมัน แต่เอ็ดเวิร์ดได้ยิน
“มันไม่เคยหลับเลย มันเล่าให้ผมฟังถึงเรื่องต่างๆ ที่พวกมันพูดกันอยู่ในนรกตลอดเวลาไม่มีใครสามารถจินตนาการได้ถึงสิ่งยั่วยุ
อันน่าสยดสยองที่เกิดขึ้นต่อหน้าผมได้หรอกเพราะความโหดร้ายที่ไม่สมควรให้อภัยของบรรพบุรุษของผมทำให้ผมต้องถูกผูกติด
อยู่กับเจ้าอสูรร้ายนี่มันต้องเป็นอสูรร้ายอย่างแน่นอนที่สุด ผมขอร้องและอ้อนวอนคุณให้กำจัดมันออกไปจากร่างกายนี้ให้ทีถึงแม้ว่ามันจะทำให้ผมต้องตายก็ตาม”
เอ็ดเวิร์ดได้ร้องขอให้แพทย์ทำการผ่าตัด ใบหน้าปีศาจด้านหลังออกจากหัวของเขาแต่ไม่มีแพทย์รายใดที่ยอมผ่าตัดให้
จนในที่สุดเอ็ดเวิร์ดก็ไม่สามารถทนอยู่กับสิ่งนี้ได้ เขาตัดสินใจจบชีวิตของตัวเองลง ในวัย 23 ปี ด้วยการกินยาฆ่าพิษตัวตาย
ก่อนตายเขาก็ได้ทิ้งจดหมายเอาไว้บอกให้ทำลาย “หน้าปิศาจ” นั้นให้ได้ก่อนทำพิธีฝังศพเขา
“มิเช่นนั้นมันอาจจะตามไปกระซิบสิ่งชั่วร้ายต่อในหลุมฝังศพของผม”
และตามคำขอของเขา ศพของเขาจึงถูกนำไปฝังไว้ที่ฝังกลบขยะโดยไม่มีหินหรือป้ายจารึกปักอยู่ที่หลุมศพของเขาเลย
1.คดีฆาตกรรมฮินเตอร์เคเฟก (Hinterkaifeck Murders)
อ้างอิง http://www.horrorthai.com/hinterkaifeck-murders/
คดีฆาตกรรมฮินเตอร์เคเฟกของประเทศเยอรมัน เป็นคดีฆาตกรรมสังหารหมู่ครอบครัวกรูเบอร์ 6 คน ประกอบไปด้วย อันเดรส กรูเบอร์ วัย 63 ปี, คาซิลเลีย ภรรยาวัย 72 ปี วิกตอเรีย เกเบรียล ลูกสาววัย 35 ปี และลูกของวิกตอเรีย 2 คนคือ คาซิลเลีย วัย 7 ขวบ และโยเซฟ วัย 2 ขวบ และแม่บ้านมาเรีย บอมการ์ตเนอร์ (ที่ทำงานเพียงหนึ่งวันก่อนฆ่าตัวตาย) พวกเขาอาศัยอยู่ในฟาร์มบนพื้นที่ห่างไกลจากตัวเมืองเล็กน้อย ซึ่งชาวบ้านเรียกมันว่าฮินเตอร์เคเฟก
คดีฆาตกรรมนี้เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม อีกทั้งยังเต็มไปด้วยเหตุการณ์แปลกประหลาดมากมายที่ไม่สามารถอธิบายได้เกิดขึ้น
ทั้งก่อนหน้าและหลังจากเกิดเหตุ
เรื่องราวแปลกประหลาดได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อในปลายปี 1921 เมื่อจู่ ๆ แม่บ้านก็เก็บข้าวเก็บของลาออกจากงานอย่างกะทันหัน
โดยให้เหตุผลว่าเธอเชื่อว่าบ้านที่เธอทำงานอยู่มีผีสิง เธอได้ยินเสียงแปลกประหลาดที่ไม่รู้ที่มาของเสียงหลายครั้ง ต่อมา
อันเดรสก็พบรอยเท้าลึกลับบนหิมะซึ่งไม่ใช่ของสมาชิกในบ้าน และมีหนังสือพิมพ์ที่ไม่ใช่ของเขาปรากฏอยู่ในบ้าน
วันที่ 4 เมษายน เพื่อนบ้านพบสิ่งผิดปกติของครอบครัวอันเดรสจึงเข้าไป เมื่อพวกเขาสำรวจโรงนาก็ภาพสยดสยอง ร่างของ
อันเดรส คาซิลเลีย วิกตอเรีย และคาซิลเลีย ถูกนำมากองซ้อนทับกันโดยมีฟางคลุมร่างอยู่ภายในโรงนา
ชาวบ้านค้นหาสมาชิกที่เหลือก็พบร่างหนูน้อยโยเซฟนอนเสียชีวิตอยู่ในเปล และร่างของมาเรียสาวใช้คนใหม่นอนเสียชีวิต
อยู่ในห้องนอน พวกเขาทั้ง 6 คนถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม ผู้เคราะห์ร้ายมีบาดแผลถูกตีที่ศีรษะเพียงครั้งเดียว อาวุธน่าจะ
เป็นพลั่ว และไม่มีร่องรอยการต่อสู้
แต่ที่น่าประหลาด น่าขนลุก หลังลงมือสังหารหมู่ครอบครัวหมดแล้ว มีความเชื่อกันว่าคนร้ายยังคงอยู่ที่ฟาร์มหลายวัน แถมยัง
คงดูแลวัวให้ และรับประทานอาหารในห้องครัวอย่างใจเย็น เพราะมีพยานที่เป็นเพื่อนบ้านเห็นควันจากปล่องไฟในช่วงกรูเบอร์
ถูกฆ่าไปหลายวันแล้ว
กว่า 100 คนที่ถูกสัมภาษณ์ในคดีฆาตกรรม แต่ไม่มีใครเคยถูกจับกุมในข้อหา หรือแม้แต่หาไม่สามารถหาแรงจูงใจการฆ่าได้เลย
และนั้นทำให้คดีฆาตกรรมฮินเตอร์เคเฟเป็นโหดเหี้ยม ประหลาด และลึกลับมากที่สุดของประเทศเยอรมัน
อ้างอิง
http://listverse.com/2013/06/03/10-more-bizarre-mysteries/
http://whatculture.com/history/10-real-life-horror-stories-that-will-freak-you-out.php
http://whatculture.com/offbeat/10-real-life-horror-stories-will-probably-ruin-day.php
ขอบคุณที่มา: http://www.cmxseed.com/cmxseedforumn/index.php?topic=175452.0