200 วันที่ผ่านมา คดีเสือดำตายแล้วไปไหน
หากนับเอาวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2561 เป็นจุดเริ่มต้น การดำเนินคดีล่าเสือดำในป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก จะครบ 200 วัน ในวันนี้พอดี (24 สิงหาคม 2561)
ข่าวสารล่าสุดที่พวกเราได้รับ อาจสร้างความตกใจให้ไม่น้อย เมื่อศาลอาญาได้นัดสืบพยาน นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ในคดีครอบครองอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ในวันที่ 19 และ 23 กรกฎาคม 2562 หรืออีกเกือบปี
อย่างไรก็ตาม คดีที่ว่านี้ถือเป็นคดีที่เกี่ยวเนื่องกับคดีล่าเสือดำ ไม่ได้เป็นคดีหลักที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการของชั้นศาลอยู่เช่นเดียวกัน เช่นเดียวกับคดีที่เกี่ยวเนื่อง เช่น คดีติดสินบนเจ้าพนักงาน คดีครอบครองงาช้าง และบุกรุกพื้นที่ป่า จ.เลย
ตลอด 200 วันที่ผ่านมา เกิดอะไรขึ้นบ้าง และคดีใดอยู่ตรงไหน เราจะขอสรุปในภาพรวมให้ทราบกันอีกครั้งในบทความนี้
นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหาร บริษัท อิตาเลียนไทยเดเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) พร้อมพวกอีก 3 คน ประกอบด้วย นายยงค์ โดดเครือ นางนที เรียมแสน และนายธานี ทุมมาศ ได้เดินทางเข้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2561 ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้สืบทราบว่าคณะนายเปรมชัยไม่ได้เข้าไปพักแรมยังจุดที่แจ้งไว้ จึงได้ออกตามตัว ก่อนพบซากสัตว์ป่าและอาวุธปืนบริเวณจุดตั้งแคมป์ซึ่งไม่ใช่พื้นที่อนุญาต และซากเสือดำที่ถูกถลกหนังและผ่านการถนอมซากเบื้องต้นในบริเวณใกล้เคียง จึงได้ควบคุมตัวก่อนนำมาแจ้งความร้องทุกข์ต่อ สน.ทองผาภูมิ ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2561 และนำไปฝากขังที่ศาลจังหวัดทองผาภูมิ แต่นายเปรมชัยและพวกได้ประกันตัวไปในวงเงินคนละ 150,000 บาท
โดยนายเปรมชัย และพวกต้องมารายงานตัวตามกำหนดฝากขัง ทั้งหมด 7 ครั้ง เป็นเวลา 84 วัน ระหว่างการสืบสวนสอบสวนก่อนส่งสำนวนถึงอัยการเพื่อดำเนินการฟ้องต่อศาล
ดูเพิ่มเติม
บันทึกไม่ลับ ซีอีโออิตาเลียนไทย ล่าสัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร
30 เมษายน 2561 อัยการ ภาค 7 ได้แถลงผลการพิจารณาคดี นายเปรมชัย กรรณสูต กับพวก รวม 4 คน ตามคำชี้ขาดอัยการสูงสุด ประกอบด้วย สั่งฟ้อง นายเปรมชัย กรรณสูต ผู้ต้องหาที่ 1 จำนวน 6 ข้อหา นายยงค์ โดดเครือ ผู้ต้องหาที่ 2 จำนวน 7 ข้อหา นางนที เรียมแสน ผู้ต้องหาที่ 3 จำนวน 5 ข้อหา และนายธานี ทุมมาศ ผู้ต้องหาที่ 4 จำนวน 8 ข้อหา และเรียกค่าเสียหายทางอาญา 3,012,000 บาท
ปัจจุบัน คดีล่าสัตว์ป่าในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก กำลังอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการในชั้นศาล โดยมีอัยการ ภาค 7 เป็นโจทก์ฟ้องนายเปรมชัย กรรณสูต และพวก จำนวนคดีที่กล่าวไปในย่อหน้าข้างต้น ซึ่งนายเปรมชัยและเดินทางมาขึ้นศาลไปแล้ว 2 ครั้ง
ครั้งแรก วันที่ 21 พฤษภาคม 2561 ตามหมายนัดมาเพื่อสืบพยานหลักฐาน สอบคำให้การ และตรวจพยานเอกสาร แต่ทนายความของจำเลยที่ 2 และ 4 ไม่ได้เดินทางมาด้วย เนื่องจากติดว่าความคดีอื่น จำเลยจึงขอเลื่อนเวลาออกไป ซึ่งศาลได้นัดตรวจพยานออกไปเป็นวันที่ 6 มิถุนายน 2561
ต่อมา วันที่ 6 มิถุนายน 2561 ทางฝ่ายจำเลยได้ยื่นคำร้องโดยอ้างว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 คือนายเปรมชัย และนายยงค์ ถูกฟ้องในคดีอาญา ทุจริตประพฤติมิชอบภาค 7 (ร่วมกันติดสินบนเจ้าพนักงาน) ซึ่งได้แถลงว่าคดีนี้น่าจะเกี่ยวพันกับคดีดังกล่าว จึงขอให้ศาลส่งคดีนี้ไปให้ประธานศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจศาลดังกล่าวหรือไม่
ทางศาลจังหวัดทองผาภูมิจึงส่งคดีนี้ไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย และนัดมาฟังคำวินิจฉัยในวันที่ 27 สิงหาคม 2561
ต่อการยื่นคำร้องได้มีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการถ่วงเวลาของฝ่ายจำเลยหรือเปล่า
ดูเพิ่มเติม
ฐานความผิด เปรมชัยกับพวก หลังอัยการสูงสุดชี้ขาด
ลำดับเหตุการณ์คดีล่าสัตว์ป่าทุ่งใหญ่ฯ 2561
บันทึกความคิดเห็น-ข้อสงสัย โอนคดีเปรมชัย ไปศาลอาญาคดีทุจริตฯ ภาค 7
หลังปรากฏเรื่องราว ประธานบริหาร บริษัท อิตาเลียนไทยเดเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ถูกจับกุมเป็นผู้ต้องหาในคดีล่าสัตว์ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า วันรุ่งขึ้น 7 กุมภาพันธ์ นำทีมโดยพลตำรวจเอกศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมกับตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
จากการค้นบ้านพักนายเปรมชัย พบอาวุธปืน 43 กระบอก มีไรเฟิลติดลำกล้อง โดยสั่งอายัดอาวุธปืนทั้งหมดตรวจสอบทะเบียนการครอบครอง รวมถึงตรวจหา DNA ลายนิ้วมือ และยังพบงาช้าง 4 กิ่ง ได้ส่งให้กรมอุทยานฯ นำไปตรวจหลักฐานการครอบครอง
หลังจากนั้น ผลปรากฏว่า ในจำนวนปืน 43 กระบอกที่ตรวจค้นได้นั้น มีบางกระบอกเป็นปืนที่ผิดกฎหมาย ห้ามครอบครอง นำไปสู่การดำเนินคดีนายเปรมชัยเพิ่มอีกคดี ในความผิดฐานมีอาวุธปืน และเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการในชั้นศาล โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2561 ศาลอาญา รัชดาภิเษกได้กำหนดสืบพยานฝ่ายโจทก์และจำเลย ในวันที่ 19, 23 กรกฎาคม 2562 ที่ศาลอาญา
ส่วนงาช้างที่ตรวจพบได้นั้น ผลปรากฏว่าไม่ตรงกับที่จดแจ้งไว้กับกรมอุทยานฯ ส่งผลให้นายเปรมชัย นางคณิตดา กรรณสูต (ภรรยานายเปรมชัย) และนางสาววันดี สมภูมิ จำเลยทั้ง 3 ถูกฟ้องในฐานความผิดฐาน (1) ร่วมกันมีซากสัตว์ป่าคุ้มครองไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต (2) ร่วมกันนำพาของที่ยังไม่ได้เสียภาษี ของต้องห้าม ต้องกำกับ เข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และ (3) ร่วมกันซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย หรือรับไว้โดยประการใดๆ ซึ่งรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากรณ์ ตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 มาตรา 19 และ 47 และ พ.ร.บ. ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27, 27 ทวิประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
ล่าสุดในคดีนี้ ศาลอาญาได้นัดตรวจพยานหลักฐานแต่ละฝ่ายอีกครั้งในวันที่ 3 กันยายน 2561
ดูเพิ่มเติม
นัดสืบพยาน คดีเปรมชัยครอบครองอาวุธปืน ก.ค. 2562
‘เปรมชัย’ ปฏิเสธ-เลื่อน คดีครอบครองงาช้าง อาวุธปืน
ในการสืบสวนกรณีนายเปรมชัย และพวกถูกจับในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตกนั้น ปรากฏพบคลิปเสียงเชิงต่อรองสิ่งของเพื่อแลกกับการปล่อยตัวและไม่เอาผิด สืบสวนภายหลังว่าเป็นเสียงของนายยงค์ โดดเครือ
จากหลักฐานที่ปรากฏ อัยการศาลอาญา แผนกคดีปราบปรามการทุจริตภาค 7 สั่งฟ้อง นายเปรมชัย และนายยงค์ในข้อหาพยายามติดสินบนเจ้าพนักงานเป็นที่เรียบร้อย และศาลได้ประทับคำร้องเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน ในความผิดฐาน “ร่วมกันให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิงการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่” ตาม ป.อาญา มาตรา 144 ประกอบมาตรา 83
โดยปัจจุบันเป็นอีกคดีที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการชั้นศาล
อาจกล่าวได้ว่า หากไม่มีคดีล่าสัตว์ป่าในพื้นที่ทุ่งใหญ่นเรศวรเกิดขึ้น ก็คงไม่มีการดำเนินคดีเรื่องการบุกรุกพื้นที่ป่าที่ภูเรือ-ด่านซ้าย
เนื่องจากนายเปรมชัย ได้ตกเป็นที่สนใจของสังคม จนเกิดการขุดค้นประวัติในหลายๆ ด้าน ทำให้พบว่านายเปรมชัย และครอบครัวมีที่ดินที่ อ.ภูเรือ จ.เลย ซึ่งจากการตรวจสอบร่วมกันระหว่างกรมป่าไม้ และฝ่ายราชการท้องถิ่น จ.เลย ทำให้ทราบว่า ที่ดินที่คนในครอบครัวกรรณสูตถือครองนั้น เป็นการทำประโยชน์ ครอบครองที่ดิน โดยไม่ได้รับอนุญาต และนำไปสู่การดำเนินคดีในที่สุด
โดยเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2561 ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิด เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) พลตำรวจเอก ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางมาสอบปากคำ และรับมอบตัวนางพิไลจิตร เริงวิทยา นางนิจพร จรณะจิตต์ นางอรเอม เทอดประวัติ 3 กรรมการบริษัท ซีพีเค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
นางพิไลจิตร นางนิจพร และนางอรเอมทั้ง 3 คน เป็นพี่น้องของนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ผู้ต้องหาคดีร่วมกันล่าเสือดำ ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร โดยหลังจากการพบมีการบุกรุกพื้นที่ป่าใน อ.ภูเรือ และ อ.ด่านซ้าย จ.เลย รวม 6 คดี จำนวน 6,700 ไร่ มูลค่าความเสียหายกว่า 680 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ต่อการดำเนินคดีนี้ หลังจากมีข่าวไปเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมา ก็ยังไม่เห็นรายงานใดๆ เกี่ยวกับคดีนี้เพิ่มเติม
ดูเพิ่มเติม
แจ้งข้อหาพี่สาวเปรมชัย รุกป่าภูเรือ-ด่านซ้าย 6 พันไร่
ทันทีที่ข่าวสารเรื่องราวการล่าเสือดำที่ป่าทุ่งใหญ่ถูกกระจายสู่สาธารณะ มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ในฐานะองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมที่ทำหน้าที่เฝ้าระวังโครงการและกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า ได้ออกแถลงการณ์ต่อกรณีเหตุการณ์ล่าสัตว์ป่าของคณะนายเปรมชัย ในทันที ซึ่งได้ออกแถลงการณ์ด้วยกันทั้งหมด 3 ฉบับ ประกอบไปด้วย
แถลงการณ์ ฉบับที่ 1 กรณีล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2561
แถลงการณ์ ฉบับที่ 2 ทวงถามความคืบหน้าคดีล่าสัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร วันที่ 5 มีนาคม 2561
และ แถลงการณ์ ฉบับที่ 3 กรณีล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก
โดยแถลงการณ์ครั้งแรกนั้นได้เป็นการออกแถลงการณ์ผ่านทางเว็บไซต์มูลนิธิสืบนาคะเสถียร [www.seub.or.th] แถลงการณ์ ฉบับที่ 2 เป็นการจัดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนที่สำนักงานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร และแถลงการณ์ฉบับสุดท้ายเป็นการแถลงที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมเข้าพบพลตำรวจเอก ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้รับผิดชอบคดี เพื่อขอบคุณที่ดำเนินการรวบรวมหลักฐานและส่งสำนวนถึงอัยการอย่างรวดเร็ว พร้อมซักถามข้อสงสัยต่างๆ เกี่ยวกับการดำเนินคดี
ดูเพิ่มเติม
จับตา ‘พฤติการณ์แห่งคดี’ ล่าสัตว์ป่าทุ่งใหญ่ 61
มูลนิธิสืบฯ ยื่นแถลงการณ์ฉบับ 3 และซักถามความมั่นใจต่อ ‘ศรีวราห์’
ทางด้าน บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) นั้น แม้จะมีกระแสจากสาธารณชนกดดัน แต่ทางบริษัทกลับไม่มีท่าทีใดใดในการออกมาแสดงถึงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในประเด็นธรรมาภิบาลของผู้บริหาร ซึ่งทางบริษัท บริษัท อิตาเลียนไทย ได้ระบุถึงบทบาทของผู้บริหารต่อสังคมส่วนรวมว่า ไม่กระทำการใดๆ ที่จะมีผลเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติและสภาพแวดล้อม
อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวที่สำคัญต่อคดีล่าสัตว์ป่านี้ เกิดขึ้นเมื่อ กรรมการอิสระบอร์ดอิตาเลียนไทย ศ.ดร.มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด ขอลาออกจากกรรมการอิสระ และกรรมการตรวจสอบ แจ้งเหตุผลเพราะนายเปรมชัยถูกจับกุมในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก พร้อมซากสัตว์ป่าและอาวุธปืน
นอกจากนี้ ยังมีการเรียกร้องจากภาคสาธารณะให้รัฐบาลพิจารณาทบทวนยกเลิกการจัดซื้อจัดจ้าง และขึ้นทะเบียนแบล็คลิสต์ บริษัทอิตาเลียนไทย ซึ่งได้มีหนังสือตอบกลับจากสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า “สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้ประสานส่งเรื่องให้กระทรวงคมนาคม ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบกรณีที่ท่านได้มีหนังสือกราบเรียนนายกรัฐมนตรีดังกล่าว เพื่อรับทราบเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาแล้ว”
ขณะที่ล่าสุด เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2561 นายเปรมชัย ได้ขายหุ้น รวม 38,443,100 หุ้น หรือกว่า 5% ของหุ้นที่ถืออยู่เดิม คือ 714,479,026 หรือ 13.53% ของหุ้นทั้งหมด
ดูเพิ่มเติม
ศ.ดร.มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด ลาออกพ้นบอร์ดอิตาเลียนไทย
หนังสือตอบกลับ เรื่อง ทบทวนการจัดซื้อจัดจ้างบริษัทอิตาเลียนไทย
ในวันที่ 5 พฤษภาคม มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้จัดกิจกรรม ตลาดนัดฅนรักษ์ป่า ขึ้นเพื่อแสดงออกถึงการรวมพลังของสาธารณชนว่าจะติดตามคดีล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก อย่างถึงที่สุด ณ ลานกิจกรรมด้านหน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
กิจกรรมภายในงานมีทั้งเวทีเสวนาความรู้เกี่ยวกับนิเวศวิทยาของผืนป่าทุ่งใหญ่และสถานะของเสือดำในป่าประเทศไทย สลับกับการแสดงดนตรีของกลุ่มศิลปินที่ออกมาเคลื่อนไหวเรื่องเสือดำผ่านเสียงดนตรีที่ถูกประพันธ์ขึ้นใหม่ โดยมีแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์นี้โดยเฉพาะ
โดยในช่วงสุดท้ายของงาน นายศศิน เฉลิมลาภ ประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้อ่านปาฐกถา เสือดำต้องไม่ตายฟรี ระบุว่า “เราต้องร่วมแสดงออก เพื่อรักษาบรรทัดฐานทางสิ่งแวดล้อม เพื่ออนาคตของลูกหลาน”
ดูเพิ่มเติม
ปาฐกถาฉบับเต็ม ‘เสือดำต้องไม่ตายฟรี’ โดย ศศิน เฉลิมลาภ
หลังจากนายเปรมชัย ตกเป็นผู้ต้องหา (ปัจจุบันมีสถานะเป็นจำเลย) สื่อมวลชนได้ติดตามทำข่าวอย่างใกล้ชิด และพยายามที่ขอสัมภาษณ์นายเปรมชัยในทุกครั้งที่ปรากฏตัวขึ้นตามหมายนัดในคดี แต่ก็มีน้อยครั้งนักที่นายเปรมชัยจะเปิดปากให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนเอง และทุกครั้งก็เป็นคำสัมภาษณ์สั้นๆ เพียงเท่านั้น
นับจากวันที่ 6 กุมภาพันธ์ เป็นต้นมา นายเปรมชัย ได้บอกอะไรกับสื่อมวลชนบ้าง
6 กุมภาพันธ์ 2561 “เพิ่งเคยเข้าไปเที่ยวในพื้นที่ทุ่งใหญ่นเรศวรเป็นครั้งที่ 2 ในชีวิต โดยครั้งแรกผ่านมา 30-40 ปีมาแล้วในช่วงการสร้างเขื่อนเขาแหลม ครั้งนี้ตั้งใจมาเที่ยวพักผ่อนเพราะอายุมาก แก่จะตายอยู่แล้ว เลยอยากขอกลับมาอีกสักครั้ง” ที่ สน.ทองผาภูมิ
7 กุมภาพันธ์ 2561 “ผมไม่อยากจะพูด เพราะว่าทางขั้นตอนทางด้านตำรวจ ทางศาลเขากำลังดำเนินการอยู่ ผมไม่อยากพูดอะไรที่มันยุ่ง” และ “เรื่องขอโทษนี่ ผมยินดีที่ขอโทษ เพราะผมก็มีส่วนผิด แต่หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นผมไม่ได้เกี่ยวข้อง ผมก็ให้เป็นขั้นตอนของศาลว่าเขาจะตัดสินอย่างไร” เพจอีจันโทรสัมภาษณ์
14 มีนาคม 2561 “ผมปฏิเสธทั้ง 3 ข้อหาในวันนี้นะครับ ผมเสียใจนะครับ ที่ทุกคนมีความรู้สึกแบบนี้ กับเรื่องนี้ กับเรื่องของผม แต่ผมคิดว่า ความจริงทุกประการจะปรากฏในชั้นศาล” ที่ศาลอาญารัชดาภิเษก
18 เมษายน 2561 “ไม่มีอะไรครับ แค่มารายงานตัวเฉยๆ” ที่ศาลจังหวัดทองผาภูมิ
25 เมษายน 2561 “ผมไม่ได้ทำ ผมก็ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก็ได้โทรสอบถามทุกกรมทุกกระทรวงก็มีแต่คนเห็นใจผม วันนั้น ผมไปถึงเย็นวันเสาร์ ผมก็ไปนอน ตื่นเช้ามาก็เข้าไปทุ่งใหญ่และถูกจับในตอนเย็น และโดนกักขัง 2 วันสองคืน ติดต่อใครไม่ได้ เพราะถูกยึดโทรศัพท์ พอออกมาก็เจอกับนักข่าวเป็นร้อย ส่วนภาพที่ออกมาก็ออกไปหมดแล้ว คิดว่าป่าไม้คงเป็นคนส่ง” ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2561 ของบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์
2 พฤษภาคม 2561 “ผมยังไม่เข้าใจเหตุการณ์เลยครับ” ที่ศาลจังหวัดทองผาภูมิ
มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้ประกาศไว้ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มดำเนินคดีนายเปรมชัยและพวกว่าจะติดตามคดีนี้อย่างถึงที่สุด โดยในพื้นฐานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร จะนำเสนอข่าวสารเกี่ยวกับคดีล่าเสือดำทุกครั้งที่มีความเคลื่อนไหวในคดี รวมถึงคดีที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องดังกล่าว
นอกจากนี้ มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ยังได้ตั้งกองทุนเฉพาะกิจขึ้นมาสำหรับติดตามคดีนี้โดยเฉพาะ ซึ่งกองทุนดังกล่าวได้มาจากการสมทบทุนจากสาธารณชน และกลุ่มต่างๆ ที่จัดกิจกรรมเพื่อเสือดำขึ้น โดยกองทุนนี้ มูลนิธิสืบนาคะเสถียร จะนำไปใช้เฉพาะกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้เท่านั้น เช่น การจัดกิจกรรมตลาดนัดฅนรักษ์ป่า การขึ้นป้ายรณรงค์ #เสือดำต้องไม่ตายฟรี รวมถึงค่าใช้จ่ายในกิจกรรมอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
โดยการทำงานและติดตามคดีในครั้งนี้ มูลนิธิสืบนาคะเสถียร หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นการนำไปสู่การสร้างบรรทัดฐานที่ดีในการดำเนินคดีทางสิ่งแวดล้อมอย่างเที่ยงธรรมในอนาคต
ภาพประกอบ มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้ดำเนินการติดป้ายไวนีลขนาด 3.8×5 เมตร ไว้ที่ผนังด้านข้างสำนักงานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร เลขที่ 140 ถ.ติวานนท์ ต.บางกระสอ อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี 11000
อ่านเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกรณี ซีอีโออิตาเลียนไทยล่าสัตว์ในป่าทุ่งใหญ่นเรศวรในเว็บไซต์มูลนิธิสืบนาคะเสถียรทั้งหมด ได้ที่ www.seub.or.th/tag/ล่าสัตว์ป่าทุ่งใหญ่/
เรียบเรียง เอกวิทย์ เตระดิษฐ์ หัวหน้าฝ่ายสื่อสารองค์กร มูลนิธิสืบนาคะเสถียร