อาการของผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีเป็นอย่างไร
อาการของผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี
สำหรับสัญญาณเตือน หรืออาการของโรคเอดส์ที่แสดงออกมานั้น โดยปกติจะมีอาการเกิดขึ้นภายใน 2-6 สัปดาห์ หลังจากที่ร่างกายได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวีซึ่งดูเผินๆ อาจจะเหมือนกับอาการไม่สบายธรรมดาๆ อย่างเช่น ปวดหัว อ่อนเพลีย ไข้หวัดใหญ่ หรือติดเชื้อไวรัสชนิดอื่นๆ ที่มีอาการไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง ซึ่งเป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายต่อการติดเชื้อเอชไอวี
ในช่วงเวลานี้ร่างกายจะมีปริมาณเชื้อไวรัสเอชไอวีที่สูงมาก ซึ่งสามารถแพร่เชื้อและติดต่อไปยังผู้อื่นได้ง่าย อาการดังกล่าวนี้จะมีอยู่เพียงไม่กี่สัปดาห์ ก่อนที่จะหายไป และไม่มีอาการอีกเลยเป็นปีๆ ในกรณีที่เป็นโรคเอดส์ อาการเหล่านี้มักจะเป็นอยู่นานกว่าธรรมดามาก หรือหากหายแล้วก็จะกลับมาเป็นใหม่บ่อยครั้ง ถ้ามีอาการติดต่อกันนานและทวีความรุนแรงมากขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วนที่สุด
โดยสัญญาณที่สังเกตุได้เมื่อติดเชื้อเอชไอวี มีดังต่อไปนี้
- สัญญาณที่ 1 มีอาการไข้ หนาวสั่น เป็นอาการหนึ่งที่พบได้มากที่สุดของการติดเชื้อไวรัส HIV ในระยะแรกๆ สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งเพศชายและเพศหญิง โดยมักจะปรากฏในเวลาไม่นาน หลังจากที่ร่างกายได้รับเชื้อเข้ามาภายใน 2-4 สัปดาห์ แล้วอาการไข้จะค่อยๆ หายไปเอง
- สัญญาณที่ 2 ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ อาการปวดศีรษะอาจจะดูเหมือนอาการปวดแบบปกติทั่วไปที่คุ้นเคยในแต่ละวัน แต่ผู้ชายจำนวนไม่น้อยที่ติดเชื้อไวรัส HIV นี้มักจะเป็นไข้จากโรคหลอดเลือดในสมอง แล้วทำให้มีอาการปวดศีรษะเล็กน้อยถึงปานกลาง อาจทำให้ละเลยได้ เพราะมองว่าเป็นเรื่องปวดหัวปกติแล้วไม่รักษา
- สัญญาณที่ 3 ต่อมน้ำเหลืองบวม ผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัส HIV จะมีอาการบวมหรืออักเสบของต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ลำคอ รักแร้ และขาหนีบ จะค่อยๆ บวมขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่สร้างความเจ็บปวดจนทำให้เข้าใจว่าเป็นอาการจากโรคอื่น
- สัญญาณที่ 4 ปวดเมื่อยตามตัว โดยเฉพาะในผู้ชายที่ได้รับเชื้อไวรัส HIV จะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกายอย่างมาก ด้วยความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและระดับพลังงานที่มีในตัว พบว่ามีอาการเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าได้ง่ายกว่าปกติทั่วไป
- สัญญาณที่ 5 ผิวหนังเป็นผื่น มีรอยฟกช้ำ อักเสบ อาการในระยะแรกๆ ที่เกิดขึ้น จะปรากฏเป็นผื่นที่ขึ้นเป็นหย่อมๆ หรือมีรอบฟกช้ำเป็นมีจุดบนผิวหนังเป็นสีชมพูไปจนถึงสีม่วง บนผิวหนังที่มีสีซีดจาง ผิวหนังอักเสบ เป็นจ้ำเลือด จากนั้นจะขยายบริเวณไปยังรอบข้าง โดยผื่นที่เกิดขึ้นนั้นจะจางหายไปเองภายใน 1 สัปดาห์หลังจากที่เชื้อไวรัส HIV ในร่างกายเจริญเติบโตมากขึ้น
- สัญญาณที่ 6 คลื่นไส้อาเจียน มีอาการวิงเวียนศีรษะจนคลื่นไส้และอาเจียนออกมา เมื่อรักษาตามอาการด้วยวิธีปกติแล้วกลับไม่หาย หรือไม่มีอาการดีขึ้นแม้แต่น้อย
- สัญญาณที่ 7 น้ำหนักลด ท้องเสีย น้ำหนักตัวลดลงมาก ในระยะเวลาเพียงสั้นๆ เช่น มากกว่า 5 กิโลกรัมใน 1 เดือน โดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้งที่รับประทานอาหารในปริมาณตามปกติแล้วก็ตาม อาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วย
- สัญญาณที่ 8 ไอเรื้อรัง มีลักษณะอาการแบบไอแห้งๆ เรื้อรังติดต่อกันเป็นระยะเวลานานผิดปกติ อาจเป็นร่วมกับการหายใจไม่สะดวก หอบ เหนื่อย
- สัญญาณที่ 9 สมาธิสั้น รู้สึกกระวนกระวาย กังวลหรือหงุดหงิดง่าย ความจำสั้น สมาธิสั้น และมีปัญหาเกี่ยวกับการจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
- สัญญาณที่ 10 เหงื่อออกมาก โดยเฉพาะตอนกลางคืน ถึงแม้ว่าสภาพอากาศจะเย็นสบายก็ตาม แต่กลับมีเหงื่อออกมากผิดปกติ
- สัญญาณที่ 11 เล็บผิดปกติ เล็บมีรูปร่างและสีที่เปลี่ยนแปลงไป อาจจะมีลักษณะบิดเบี้ยว แยกชั้น คดโค้งงอ และดูไม่เงางาม
- สัญญาณที่ 12 ชาตามนิ้วมือนิ้วเท้า รู้สึกไม่มีเรี่ยวแรง ไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อได้ ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามต้องการ และกล้ามเนื้ออ่อนแรง เนื่องจากเส้นประสาทได้รับความเสียหายนั่นเอง
โดยปกติตามธรรมชาติของการติดเชื้อไวรัส HIV นั้น ช่วงแรกๆ จะยังไม่มีการแสดงอาการออกมาให้เห็นทันที แต่เชื้อไวรัสนี้จะแฝงตัวอยู่ในระยะเวลาสักพักหนึ่ง ก่อนที่จะเริ่มแสดงอาการออกมา บางรายที่มีภูมิคุ้มกันดีอาจจะใช้ระยะเวลาเป็นปีๆ หรือถึง 10 ปี ในขณะที่อีกรายหนึ่งมีอาการเล็กๆ น้อยๆ แสดงออกมาทันทีหลังจากที่ร่างกายติดเชื้อไวรัส HIV แล้ว
ดังนั้นหากพบว่าตัวเองมีอาการต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นปรากฏขึ้น ควรรีบเข้ารับการตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อไวรัส HIV ทันที ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่ทราบผลการตรวจว่าจะติดเชื้อหรือไม่ก็ตาม แต่ในปัจจุบันเราสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้ ถ้ารู้จักวิธีปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้อง และยังช่วยให้เราได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที พร้อมกับเป็นการป้องกันการแพร่เชื้อจากตัวเองสู่ผู้อื่นอีกด้วย