8 สิ่งที่เราควรสอนลูกเพื่อรับมือกับความล้มเหลวและอุปสรรค
วันนี้มาแนวมีสาระหน่อย
ด้วยความที่มีลูกสองคนและเห็นความแตกต่างอย่างมากทั้งที่ก็เป็นลูกเราทั้งสองคนโตมาด้วยด้วยเลี้ยงมาด้วยกันอยู่เหมือนกันให้กินเหมือนกันแต่ทำไมต่างกันอย่างนี้ บางเรื่องก็ได้ดั่งใจเราแต่บางเรื่องก็ไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย ก็มาตั้งคำถามกับตัวเองว่าเพราะอะไร....หาบทความต่างๆมานั่งอ่านเรื่องด็กก็มีหลายแนวคิดหลายความเห็นและหลายทฤษฎีที่จะเอามาเป็นคำตอบ
สรุปแล้วง่ายๆเลย คือ คนรอบตัวของเด็กเองโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เลี้ยงดูเขา พ่อแม่นี่แหละที่เป็นตัวส่งอุปนิสัยและตัวตนเด็กคนนั้นขึ้นมา ตอนเลี้ยงคนแรกเราอาจมีทัศนคติในอีกแบบหนึ่งแต่มาคนที่สองเราเองมีบางอย่างเปลี่ยนไปโดยที่เราไม่รู้ตัวคนที่สองก็จะมีความคิดมาอีกแบบ อ่านบทความโน้นนั่นนี่ไปมาไปเจอบทความหนึ่งที่น่าสนใจเลยเอามาสรุปแบ่งปันกัน ความน่าสนใจส่วนตัวคือมองว่าปัจจุบันโลกของเราอยู่ในช่วงต่อความทันสมัยสมัยล้ำหน้าด้วยเทคโนโลยี ความรวดเร็ว กับความดั้งเดิม ที่พยายามไขว้คว้าหาความสงบกับสังคมที่วุ่ยวาย อย่างที่มีการใช้คำว่า สโลวไลฟ์ ซึ่งรอยต่อตรงนี้ส่วนตัวมองว่าเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้การดำเนินชีวิตในปัจจุบันเกิดความหลักเหลื่อม ยากเหมือนกันที่จะสอนให้เด็กๆใช้ชีวิตบนฐนความถูกต้องแบบดั้งเดิมแต่ต้องทันเทคโนโลยีและความทันสมัย เพราะพ่อแม่เองก็เกิดมาในช่วงก่อนความทันสมัยมากๆจะเกิด พ่อแม่ก็เลยต้องทำการบ้านตามเทคโนโลยีให้ทันด้วย
เกริ่นมาอย่างยาวจะบอกว่าสิ่งหนึ่งที่อยากสอนลูกๆคือ การรับมือและการก้าวผ่านปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นในโลกวุ่นวายนี้อย่างไร........จากบทความที่อ่านเลยสรุปมาสั้นๆตามนี้เลย
...ความล้มเหลวและอุปสรรคเป็นความรู้สึกความเจ็บปวดและไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นกับชีวิตของตัวเอง แต่สุดท้ายอุปรรคเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างตัวตนและชีวิตของคนๆนึงให้มีคุณภาพได้ในสังคม ถ้าเรารับมือกับความล้มเหลวนั้นอย่างถูกวิธี แน่นอนว่าพ่อแม่ทุกคนอยากช่วยให้ลูกประสบความสำเร็จ แต่เราไม่สามารถไปช่วยเขาแก้ปัญหาและเผชิญปัญหากับเขาได้ทุกเรื่อง ซึ่งจริงๆแล้วก็เป็นสิ่งที่พ่อแม่อย่างเราๆไม่ควรทำนั่นแหละ พ่อแม่ส่วนใหญ่ก็รู้เรื่องนี้เนอะ แต่จะทำยังไงเพื่อให้แน่ใจว่าลูกๆจะสามารถรับมือและผ่านปัญหานั้นได้อย่างดี
8 สิ่งที่เราควรสอนลูกเพื่อรับมือกับความล้มเหลวและอุปสรรคที่จะต้องเข้ามาทั้งปัจจุบันและอนาคต
เครดิตบทความภาษาอังกฤษจาก https://www.imom.com/
ติดตามเพจน้ำใจไปไหนได้ที่ https://www.facebook.com/namjaipainai/
"เป็นต้นแบบ"
ลูกเรียนรู้มากมายจากการเฝ้าดูเรา และจะเลียนแบบสิ่งที่เราทำ ซึ่งสำคัญที่สุดแล้วหล่ะตามที่บอกลูกจะออกมาเป็นแบบไหนก็อยู่ที่เรานี่หล่ะ
แน่นอนแม้กระทั่งการรับมือกับอุปสรรคและความล้มเหลว เราจึงควรรับมือกับสิ่งเหล่านี้อย่างมีวุฒิภาวะและอย่างมีความหวัง ไม่งอแงและยอมแพ้ให้ลูกเห็นง่ายๆ
พ่อแม่เองก็มีความตึงเครียดจากสังคมที่ดำเนินชีวิตอยู่แล้ว จึงต้องคอยเตือนตัวเองเสมอๆว่ามีคนที่จะเลียนแบบเราอยู่นะ เราต้องสงบสติและแสดงออกไปแบบไหนถึงจะดีที่สุด อย่าเพิ่งเอาอารมณ์มาตั้งต้น
"วางพื้นฐานทางจิตใจ"
สร้างรากฐานการปลูกฝังให้ลูกรู้จักอดทนและมีสติตั้งแต่เด็ก จะทำให้ลูกสามารถรับมือกับปัญหาและความผิดหวังในอนาคตได้ พื้นฐานทางจิตใจเหล่านี้จะมีส่วนสำคัญให้ลูกเติบโตมาอย่างมีคุณภาพ ย้อนกลับมาข้อแรกวางรากฐานยังไงก็นั่นแหละต้องวางรากฐานที่ตัวเราเอง ลูกๆก็จะเลียบแบบเรา พยายามเป็นต้นแบบที่ดีให้ได้ สู้ๆ
"เมื่อวันเวลาที่ฝนจาง ฟ้าก็คงสว่างและทำให้เข้าใจ ว่ามันคุ้มค่าแค่ไหนที่เฝ้ารอ"
สอนให้ลูกรู้จักมองภาพรวม การมีอุปสรรคที่เหมือนจะใหญ่ในวันนี้ จริงๆมันก็เป็นแค่ส่วนนึงของภาพรวมทั้งหมด มองปัญหาให้เป็นรูปธรรมมันคือสิ่งหนึ่งก้อนหินก้อนหนึ่งที่เราก้าวข้ามมันได้ และเราจะไม่ได้เจอก้อนหินทุกวันหรอก เมื่อผ่านมันไปได้ก็จะมีวันที่ง่ายและสนุกกว่านี้แน่นอน ชีวิตไม่ใช่แค่วันนี้วันเดียว มองไปข้างหน้าอย่างพึ่งยอมแพ้
"การเล่นคือการเรียนรู้ที่ดีที่สุดสำหรับเด็ก"
คือนึกออกไหมสอนเด็กจะสอนยังไงให้เข้าใจอ่ะ พูดยากเหลือเกินง่ายๆเลยสอนลูกเล่นนั่นหล่ะ แล้วค่อยๆพูดแทรกเข้าไป ซึมๆมันเข้าไปทีละนิดละน้อย
การเล่นของเล่นปริศนา หรือแม้แต่เกมส์อื่นต่างๆ จะทำให้ลูกพบกับอุปสรรคและความล้มเหลวโดยตรงกับตัวเอง และเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาและวางแผนที่จะข้ามอุปสรรคไปอย่างสนุกด้วยตัวเอง โดยไม่ยอมแพ้ไปซะก่อน
"สอนให้ลูกรู้จักการฝึกฝน"
การฝึกฝนจะทำให้เราชำนาญ และเกิดความเชี่ยวชาญคล่องแคล่ว
ในหลายๆกรณี อุปสรรคบางอย่างต้องใช้ความชำนาญ และความเข้าใจจึงจะผ่านไปได้
หนึ่งในการฝึกให้ลูกเข้าใจกับปัญหานั้นอยางแท้จริงคือ การฝึกซ้อมซ้ำๆ ซึ่งจะทำให้ลูกเข้าใจว่าอุปสรรคบางอย่างสามารถข้ามไปได้หากเราอดทนและฝึกซ้อมจนสิ่งที่ยากกลายเป็นง่าย เช่นการเล่นกีฬาหรือการเล่นดนตรีในเพลงที่ยากไม่เคยคิดว่าจะเล่นได้ก็ทำสำเร็จได้ด้วยการฝึกซ้อม
"สร้างให้ลูกมีทัศนคติ แง่บวก"
ในชีวิตจะเจออุปสรรคทั้งใหญ่และเล็ก อุปสรรคใหญ่อาจจะหมายถึงการสูญเสียอะไรบางอย่างแบบกระทันหัน หรือการที่ตัวเราอาจจะมีบางอย่างไม่เท่าคนอื่น เป็นสิ่งที่เกินการควบคุมของเรา การสอนลูกให้มีทัศนคติที่ดี มองโลกในแง่บวก จะช่วยในการรับมือกับอุปสรรคใหญ่ๆ ได้อย่างดีและมีชีวิตอย่างมีความสุข แม้อุปสรรคนั้นจะคงอยู่และรุนแรงแค่ไหน
มองโลกในแง่ดี บนรากฐานของความเป็นจริง ซึ่งนี้ก็สำคัญนะไม่ใช่ว่ามองแง่ดีแล้วโอ้วโหวโลกสวยเป็นสีชมพูไปเลยจ้าใสๆ ก็ไม่ใช่นะเดี๋ยวลูกจะไม่ทันคนอื่นและถูกเอาเปรียบได้อันนี้ต้องมีเทคนิคการสอนลูกแต่ละบ้าน ว่าอะไรก็สิ่งที่ถูกที่ควร อะไรคือสิ่งที่ผิดและไม่ควร ความยากคือนี่ละอะไรถูกอะไรไม่ควร เป็นสิ่งที่จะทำให้เด็กต่างกัน
"แก้ไขมันไปทีละขั้นที่ละตอน"
อุปสรรคส่วนใหญ่จะไม่สามรถก้าวข้ามหรือแก้ไขได้ทันที บางอุปสรรคอาจจะต้องทำทีละขั้นตอนอย่างช้าๆ แก้ไขไปทีละเปราะ หรือบางอุปสรรคอาจจะเดินหน้าแล้วต้องมีเดินถอยหลังไปตั้งหลักเพื่อที่จะก้าวผ่านมันให้ได้ สอนลูกให้รู้จักแก้ไขปัญหาไปเป็นขั้นตอน ใจเย็นๆแล้วในที่สุดจะก้าวข้ามมันไปได้เอง
ก้าวไปละก้าวละกันเนอะ ช้าแต่ชัวร์ก็ยังไหว
ความล้มเเหลวไม่ใช่เรื่องผิด ทุกคนต้องเคยล้มเหลว สอนลูกให้ยอมรับกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ลุกขึ้นยืนใหม่เพื่อที่จะลองแก้ไขมันใหม่ด้วยวิธีการใหม่ พร้อมที่จะเป็นคนที่เข้มแข็งขึ้น สอนให้ลูกรู้ว่าตัวเองสามารถทนความเจ็บปวดจากความล้มเหลวได้และลุกขึ้นยืนเพื่อสู้ใหม่ได้
บ้านนี้ก็จะออกแนวนี้เขาอยากทำอะไรให้ลองแล้วบอกให้รับผลท่ีจะเกิดขึ้นด้วยไม่ว่าจะออกมาดีหรือไม่ก็ตาม จะได้ไม่มาเสียใจทีหลัง และจะได้คิดก่อนทำอะไรเสมอ เคยดูโฆษณาของอะไรจำไม่ได้ที่พ่อลูกเล่นต่อตึกJengaกันแล้วตึกมันล้มลูกก็ยิ้มแล้วบอก "ไม่เป็นไรสร้างใหม่ก็ด่ะ" นั่นหล่ะดี๊ดี
ติดตามเพจน้ำใจไปไหนได้ที่ https://www.facebook.com/namjaipainai/