"ตีจริงๆ ไม่ได้ประชดนะโยม" พระและเณร ลองเปลี่ยนจังหวะตีระฆัง หวังโยมในคอนโดจะชอบ ทำเอาฮาทั้งโซเชียล...
"ตีจริงๆ ไม่ได้ประชดนะโยม" พระและเณร ลองเปลี่ยนจังหวะตีระฆัง หวังโยมในคอนโดจะชอบ ทำเอาฮาทั้งโซเชียล...
กรณีที่มีผู้ร้องทุกข์ได้รับความเดือดร้อนจากที่ทางวัดไทร ทำการตีระฆัง ส่งเสียงดังรบกวน ตั้งแต่เวลา 03.30 น. – 04.00 น. เป็นประจำทุกวัน สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้พักอาศัยบนคอนโดที่อยู่ติดวัด ทำให้เกิดเรื่องดราม่าขึ้น แต่เมื่อผู้ใช้เฟสบุ๊ก "Pj Patcharapon" ได้ออกมาโพสต์คลิปการตีกลองจังหวะใหม่ ทำเอาฮาทั้งโซเชียล...
4 ต.ค.61 ผู้ใช้เฟสบุ๊ก "Pj Patcharapon" ได้โพสต์คลิป พระและเณรโชว์ตีกลองจังหวังใหม่ ที่คนชาวเน็ตเห็นแล้วต้องขำตาม โดยระบุข้อความไว้ว่า "ลองเปลี่ยนมาตีระฆังจังหวะนี้ คุณโยมที่อยู่ในคอนโด อาจจะชอบก็ได้ วัดสามง่าม เขตหนองจอก กทม. #หลวงพี่เจ #เณรพี"
ส่วนข้อความอธิบายโพสต์และคลิปที่ถูกแชร์นี้คือ...
“ตีจริงๆ ไม่ได้ประชดนะจ๊ะโยม
เป็นวัฒนธรรมประเพณีจริงๆ ไม่ได้เอามันส์ นะโยม
จะลุกขึ้นมาเต้นทั้งคอนโดก็ได้นะจ้ะ พี่เณรจัดให้จ้า”
ปัจจุบันหลายวัดได้เลิกตีกลองย่ำค่ำในช่วงเข้าพรรษา ในหลายท้องที่ การตีกลองย่ำค่ำจึงอาจหาฟังได้ยากหรือหาฟังไม่ได้อีกแล้ว
ในช่วงเข้าพรรษากาล เมื่อคณะสงฆ์วัดคุ้งตะเภาได้ทำวัตรเย็นจบแล้ว จะทำการตีกลองย่ำค่ำเพื่อแผ่กุศลและบอกเวลา โดยเป็นประเพณีที่สืบทอดมากว่าสองร้อยปี โดยเดิมนั้นประเพณีนี้มีอยู่ทั่วไปตามวัดในแถบชนบท แต่ด้วยการเข้ามาแทนที่ของนาฬิกา และการมองข้ามจารีตอันงดงามของวิถีไทย ทำให้ในปัจจุบันหลายวัดได้เลิกตีกลองย่ำค่ำ และอาจหาฟังได้ยากในปัจจุบันแล้ว
--------ย่ำค่ำ มาจากไหน มาอย่างไร--------
การตีกลองย่ำค่ำนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อบอกเวลา เป็นวิถีปฏิบัติของวัด-วัง มาช้านาน โดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงอธิบายว่าการตีย่ำค่ำเป็นจารีตวังแต่โบราณเพื่อเป็นการบอกเวลาและทำการผลัดเปลี่ยนเวรยาม ที่ได้มาจากอินเดียตั้งแต่ครั้งดึกดำบรรพ์ ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า "ทุ่ม-โมง" โดยวัดซึ่งอยู่ในฐานะศูนย์กลางของชุมชน ก็ได้ถือวิถีปฏิบัติการตีกลองตีระฆังในช่วงเวลาต่าง ๆ มาช้านาน เพื่อบอกเวลาสำหรับปฏิบัติศาสนกิจของคณะสงฆ์ และเป็นการบอกเวลาในแต่ละช่วงของวันแก่ชุมชนโดยรอบเช่นกัน
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันนี้ การตีกลองบอกเวลาในวังได้เลิกปฏิบัติไปนานแล้ว แต่ในวัดต่าง ๆ ยังคงปฏิบัติสืบทอดมาอยู่ ทว่าสิ่งที่น่าเสียดายคือ ในปัจจุบันหลายวัดได้ละเลยการ "ตีกลองย่ำค่ำ" หลังทำวัตรเย็นไปแล้ว เนื่องจากอาจจะด้วยความไม่ทราบจารีตปฏิบัติ การขาดการสืบต่อ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการไม่เข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของครูบาอาจารย์แต่โบราณ ที่ให้มีการย่ำค่ำ เพื่อเป็นการ "แผ่กุศล" แก่บรรดาศรัทธาวัด ให้ได้ร่วมอนุโมทนากับการปฏิบัติกิจของพระสงฆ์ ทำให้ในปัจจุบันหลายวัดได้เลิกตีกลองย่ำค่ำในช่วงเข้าพรรษา ในหลายท้องที่ การตีกลองย่ำค่ำจึงอาจหาฟังได้ยากหรือหาฟังไม่ได้อีกแล้ว
----วิธีย่ำค่ำอย่างคุ้งตะเภา--------
การตีกลองย่ำค่ำของพระสงฆ์วัดคุ้งตะเภา มีรูปแบบคล้ายคลึงกับการตีกลองย่ำค่ำของวัดในแถบภาคกลาง โดยสืบทอดธรรมเนียมการตีย่ำค่ำนี้มาตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่ก็มีรูปแบบเอกลักษณ์เฉพาะตัวแบบหัวเมืองเหนือ
คือทุกวันในช่วงเข้าพรรษากาล เมื่อถึงเวลาแสงตะวันพลบค่ำ ประมาณ ๑๘.๓๐-๑๙.๐๐ น. พระสงฆ์วัดคุ้งตะเภาจะทำการตีกลองตีระฆังย่ำค่ำ โดยมีจังหวะตีกลองและระฆังประสานเสียงกัน เริ่มที่พระสงฆ์รูปหนึ่งตีระฆังรัว ๑ ลา (ลา มาจากการรัวกลองหรือระฆังจนข้อมือล้า) เพื่อเป็นการเริ่มต้นย่ำค่ำ จบแล้ว พระสงฆ์อีกรูปหนึ่งเริ่มตีกลอง ๒ ลูก สลับลูกซ้ายและขวาลูกละ ๘ ครั้ง (ตะ-ลุ่ม-ตุ่ม-ตุ่ม ตุ่ม-ตุ่ม-ตุ่ม-ตุ่ม) โดยอีกรูปคอยตีระฆังพร้อม ๆ กับกลองในจังหวะตุ่มที่สองสลับกันไป จากนั้นก็จะเร่งจังหวะเร็วขึ้น ต่างรูปต่างรัวจนรัวไม่ไหว จึงเป็นอันว่าเสร็จ ๑ ลา และจะต้องตีเช่นนี้อีก ๒ ลา รวมเป็น ๓ ลา และจบท้ายโดยตีกลองและระฆังพร้อมกันอีกตามจำนวนค่ำ โดยกำหนดครั้งจากวันข้างขึ้นข้างแรมเท่าใด เป็นการประกาศแผ่กุศลของพระวัดคุ้งตะเภา
โดยผู้ที่อยู่ทางบ้าน หรือไกลออกไป เมื่อได้ยินเสียงกลองย่ำค่ำ ก็จะยกมือขึ้นประนมจบศีรษะอนุโมทนาบุญ เป็นวิถีปฏิบัติที่มีมาช้านาน และในจำนวน ๙ วัด ในตำบลคุ้งตะเภา คงเหลือเพียงวัดคุ้งตะเภาเพียงแห่งเดียวที่ยังคงถือปฏิบัติการตีกลองย่ำค่ำอยู่ และสืบทอดมานานกว่า ๒๔๓ ปี...
โดยได้มีชาวเน็ตเข้ามารับชม แชร์คลิป และคอมเม้นต์จำนวนมากที่ทำให้คลายเคลียดได้ดีจริงๆ...
ชมคลิป...