ลูกหลานตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด ที่อาจถูกกินโดยเผ่ามนุษย์กินคน
ลูกหลานตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด ที่อาจถูกกินโดยเผ่ามนุษย์กินคน
ถ้าคุณเป็นลูกหลานของมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลก คุณจะทำอะไร ? หลายคนอาจจะใช้ชีวิตกินอยู่แบบสุขสบาย แต่นั่นไม่ใช่ชีวิตของ ไมเคิล ร็อกกีเฟลเลอร์ (Michael Rockefeller) ลูกชายคนเดียวของ เนลสัน ร็อกกีเฟลเลอร์ (Nelson Rockefeller) อดีตผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก และทายาทตระกูลร็อคกี้เฟลเลอร์อันร่ำรวยจากกิจการน้ำมันสแตนดาร์ดออยล์ (Standard Oil Company)
แทนที่จะชอบงานด้านบริหาร แต่ไมเคิลกลับเลือกที่จะจับกล้องถ่ายรูปและการวาดภาพมากกว่า ซึ่งก่อนที่ไมเคิลจะจบจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในปี ค.ศ.1960 พ่อของเขาซึ่งเป็นนักสะสมตัวยง ได้เปิดพิพิธภัณฑ์ศิลปะดั้งเดิมขึ้น โดยจุดเด่นของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็คือผลงานที่ถูกแสดงทั้งหมดจะไม่ใช่ชาติตะวันตก เช่นผลงานจากชาวแอซเท็ก และชาวมายัน
และเพื่อที่จะเติมเต็มความฝันให้กับไมเคิล พ่อของเขาได้แต่งตั้งให้ไมเคิลเป็นหนึ่งในบอร์ดบริหารของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ แต่ดูเหมือนว่าสิ่งนี้ยังไม่สามารถเติมเต็มความฝันของเขาได้
อ้างอิงจากเพื่อนร่วมชั้นเรียน ไมเคิลต้องการทำสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนและนำของสะสมเหล่านั้นกลับมาที่นิวยอร์ก และสถานที่ๆ ไมเคิลตัดสินใจเดินทางไปก็คือเกาะนิวกินี อดีตเมืองขึ้นของเนเธอร์แลนด์ และเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคปาปัวของอินโดนีเซีย
เด็กหนุ่มวัย 23 ปีที่มีไฟอันร้อนแรงได้ติดต่อไปยังพิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์วิทยาแห่งชาติของเนเธอร์แลนด์ และได้รับคำแนะนำให้มีการจัดทีมเพื่อไปเยี่ยมชม ศึกษา และเก็บสะสมงานศิลปะจากชนเผ่า Asmat ซึ่งในไม่ช้าเขาก็ได้เรียนรู้ว่า การเดินทางครั้งนี้มันห่างไกลจากชีวิตที่แสนสุขสบายของเขามากแค่ไหน
หลังจากที่เดินทางมาถึงหมู่บ้าน Otsjanep ไมเคิลได้พบกับชาวบ้านที่มีท่าทีลังเลใจ ในขณะที่ชนเผ่า Asmat เองในอดีตได้เคยมีการพบปะผู้คนจากภายนอกอยู่บ้าง แต่กับไมเคิลในครั้งนี้มันอาจดูแปลกไปสักหน่อย
อย่างไรก็ตาม ไมเคิลได้ปรับตัวเข้ากับชาวบ้านได้อย่างดีเยี่ยม เขาได้รับหน้ากากไม้ โล่ หอก และสิ่งของต่างๆ จากชาวบ้าน ทุกอย่างดูจะไปได้สวย
ไมเคิลได้ศึกษาวัฒนธรรมของชนเผ่า Asmat อย่างจริงจัง วิถีชีวิตของชาวบ้านมักมีส่วนร่วมกับพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งมีทั้งการดื่มปัสสาวะและการกินซากศพของศัตรูในระหว่างสงคราม ภาพด้านล่างนี้ไมเคิลเองไม่ได้สังเกตสายตาของชนเผ่า Asmat ที่กำลังยิ้มให้กับเขาอยู่
ถึงแม้ไมเคิลจากเกาะนิวกินีมาได้ด้วยความประทับใจ แต่งานของเขายังไม่เสร็จสมบูรณ์โดยเฉพาะการสำรวจเผ่าที่ล่าหัวมนุษย์และเผ่ากินคน เขาจึงวางแผนที่จะกลับมาที่นี่อีกครั้งในปีถัดไป และนั่นก็เป็นช่วงเวลาที่ชีวิตของเขาต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล
ในเดือนพฤศจิกายน 1961 ไมเคิลและทีมของเขาตัดสินใจกลับไปยังหมู่บ้าน Otsjanep อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ได้โชคดีอย่างครั้งที่แล้ว เพราะเรือของเขาเจอคลื่นที่รุนแรงซัดน้ำทะลักเข้าเรือจนเครื่องยนต์ดับและเรือค่อยๆ จมลง โดยอยู่ห่างจากฝั่งถึง 12 ไมล์ ไกด์พื้นเมืองตัดสินใจว่ายน้ำออกไปตามคนมาช่วย แต่ไมเคิลกับเพื่อนของเขาขอรออยู่ที่เรือเนื่องจากในบริเวณนั้นเต็มไปด้วยฉลาม
คืนหนึ่งผ่านไปโดยไม่มีน้ำและอาหาร ไมเคิลได้ตัดสินใจว่ายน้ำโดยเอาถังน้ำมันเปล่าเป็นทุ่น เพื่อนของเขาไม่ยอมไปด้วยและก็ไม่สามารถห้ามไมเคิลได้ และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่มีคนเห็นไมเคิล แน่นอนว่าการหายตัวไปของเขากลายเป็นข่าวใหญ่โต เนลสัน พ่อของไมเคิลตัดสินใจส่งเครื่องบินและเรือจำนวนมากออกค้นหาเขาที่เกาะนิวกินี รวมถึงทางรัฐบาลของเนเธอร์แลนด์ก็จัดกำลังทั้งทางอากาศและทางเรืออย่างเต็มที่
แต่สุดท้ายทางรัฐมนตรีของเนเธอร์แลนด์ก็ต้องประกาศยุติการค้นหาด้วยสาเหตุ “ไมมีความหวังที่จะพบ ไมเคิล ร็อกกีเฟลเลอร์ รอดชีวิตอยู่อีกต่อไป” ส่วนสาเหตุการตายมีความเป็นไปได้ว่าเขาอาจจะจมน้ำหรือถูกฉลามกินไปแล้ว
สื่อเล่นข่าวการหายไปของทายาทมหาเศรษฐีกันอย่างครึกโครม จนกระทั่งกาลเวลาผ่านไปหลายทศวรรษ ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2015 ได้มีสารคดีที่เปิดเผยถึงวีดีโอที่ถูกถ่ายจากกล้องถ่ายภาพยนตร์ขนาดเล็ก วีดีโอดังกล่าวเผยให้เห็นถึงชนเผ่ากินคนจำนวนมากที่กำลังภายเรือแคนูอยู่หลายลำ และหนึ่งในนั้นก็มีชายผิวขาวที่กำลังภายเรืออย่างขะมักเขม้นอยู่ด้วย โดยวีดีโอดังกล่าวถูกถ่ายได้ในปี 1969 หรือ 8 ปีหลังจากการหายตัวไปของไมเคิล
หลายปีต่อมา คาร์ล ฮอฟฟ์แมน นักข่าวจากเนชันแนล จีโอกราฟฟิก ต้องการทราบความจริงของเรื่องนี้ เขาจึงตัดสินใจเดินทางไปยังหมู่บ้าน Otsjanep เพื่อสืบหาความจริงว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับไมเคิลกันแน่
และในระหว่างที่เขากำลังศึกษาวัฒนธรรมของชาว Asmat คาร์ลบังเอิญได้ยินล่ามของเกาะพูดถึงเหตุการณ์ที่นักท่องเที่ยวชาวอเมริกันถูกฆ่าตายเมื่อหลายทศวรรษก่อนที่เกาะแห่งนี้ คาร์ลจึงเข้าไปสอบถามว่านักท่องเที่ยวคนนั้นเป็นใครกันแน่
พวกไกด์บอกกับคาร์ลทั้งหมดเกี่ยวกับวันที่ชาวอเมริกันคนหนึ่งที่บังเอิญขึ้นฝั่งมา และวันนั้นเป็นวันเดียวกับที่ชาวเกาะได้ฆ่า ไมเคิล ร็อกกีเฟลเลอร์ นั่นเอง
ครั้งนั้นชนเผ่า Asmat อ้างถึงความเป็นธรรม เนื่องจากเมื่อสามปีก่อนที่ไมเคิลจะเดินทางไปหาพวกเขา พวกทหารของชาวดัตช์ได้บุกเข้าไปยังหมู่บ้าน Otsjanep เพื่อที่จะระงับสงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นระหว่างชนเผ่า
แต่เนื่องจากมีการเข้าใจผิด ทหารดัตช์ได้สังหารผู้นำชนเผ่าถึง 4 คน ในระหว่างการเข้ามาเหยียบที่นี่ หลายปีต่อมาเมื่อไมเคิลบังเอิญขึ้นฝั่งมาด้วยความเหนื่อยล้า ลองเดาดูสิว่าเขาจะเจอกับอะไรบ้าง ?
เมื่อไมเคิลขึ้นฝั่งมาถึงหมู่บ้าน Otsjanep เขาได้เผชิญหน้ากับลูกชายของผู้นำชนเผ่าคนหนึ่งที่ถูกทหารดัตช์สังหาร สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ไมเคิล ถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยมเพื่อเป็นการล้างแค้น
แต่สิ่งที่สยองไปกว่านั้น คาร์ลได้อธิบายในหนังสือของเขาว่า ชนเผ่า Asmat ได้กินสมองของไมเคิลสดๆ นำเนื้อของเขาไปต้มจนสุก และนำกระดูกของเขาไปทำเป็นเครื่องมือ
เรื่องราวการตายของไมเคิลถูกปิดเงียบโดยชนเผ่าทุกคน ถึงแม้ทางการเนเธอร์แลนด์ในขณะนั้นจะให้รางวัลตอบแทนสำหรับคนที่ให้เบาะแสเป็นยาสูบถึง 250 มวน (ถือเป็นรางวัลใหญ่มาก มีค่ายิ่งกว่าทองคำ 250 บาท) แต่ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่กล้าปริปากเรื่องนี้ออกไป พวกเขาได้เห็นอาวุธปืนของทหารดัตช์ และได้เห็นเฮลิคอปเตอร์ของอเมริกัน พวกเขารู้ว่าถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ชนเผ่าทั้งหมดจะต้องถูกกวาดล้างอย่างแน่นอน
นี่คือเรื่องราวที่ คาร์ล ฮอฟฟ์แมน ได้ยินมา ชาวเกาะส่วนใหญ่บอกว่าพวกเขาเคยได้ยินเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว แต่มันไม่ได้รับการยืนยันว่าเป็นจริง บางคนก็บอกว่านี่เป็นนิยายที่แต่งขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน เพื่อทำให้ชาว Asmat ดูน่ากลัวเพื่อข่มขวัญคนนอก
แต่ยังมีหัวหน้าชนเผ่าหนึ่งที่อ้างว่าเขามีกระโหลกศีรษะของ ไมเคิล ร็อกกีเฟลเลอร์ อยู่ในบรรดาของสะสมของเขา และเมื่อคาร์ลถามว่า ไมเคิล สวมใส่เสื้อผ้าอะไรในวันที่เขาตาย หัวหน้าเผ่าอธิบายได้อย่างถูกต้องเป๊ะๆ
ส่วนของสะสมของไมเคิลในระหว่างที่เขาไปยังหมู่บ้าน Otsjanep ครั้งแรก ถูกเก็บไว้ในคอลเลคชั่นของเขาในพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิแทน ในนิวยอร์กซิตี้ จนถึงทุกวันนี้
น่าเสียดายที่ ไมเคิล ร็อกกีเฟลเลอร์ ต้องมาจบชีวิตลงในแบบที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน แต่เรื่องนี้ได้สอนให้เรารู้ว่า การเติบโตมาเป็นลูกหลานของมหาเศรษฐี บางครั้งเงินทองก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการเสมอไป แต่เป็นบางสิ่งที่เขารักที่จะทำมันจริงๆ ถึงแม้ว่ามันจะเสี่ยงมากแค่ไหนก็ตาม
ค้นพบแหล่งทองคำกว่า 500 ตัน มูลค่าสูงถึง 600,000 ล้านหยวน
ไทย ชวดเหรียญทอง ปันจักสีลัต ทั้งที่กำลังจะขึ้นรับเหรียญ
เครื่องบินรบไทยรุ่นใหม่ T50TH ลงสนามจริงครั้งแรกผลงานประทับใจ
สถานีรถไฟเกือบเจ๊ง แต่รอดเพราะแมวตัวเดียว ตำนาน ทามะนายสถานีขนฟูแห่งญี่ปุ่น
ย้อนวันวาน “ศูนย์อาหารมาบุญครอง พ.ศ. 2535” ต้นแบบฟู้ดคอร์ทไทย จากคูปองเงินสด สู่ยุคสแกนจ่ายในปลายนิ้ว
แฉเรือทุนไทยขายน้ำมันให้เขมร อดีต สว ประกาศ เตือน ทัพเรือสั่ง 'จมเรือ' ได้ทันที เพราะประกาศกฎอัยการศึก
คลังเขมรเกลี้ยง ฮุนเซน ขอเงินเดือนเอกชน 5% อ้างช่วยชาติ
ดาราดัง "ยุน ซอก ฮวา" เสียชีวิตแล้ว
ถล่มอุโมงค์ลับ เนิน 350 ทัพฟ้าส่ง F-16 เสิร์ฟไข่ 6 รอบติด
เขมร" ปั่นประสาท 2 มหาอำนาจ ชี้พิรุธเขมรทิ้งขีปนาวุธต้านรถถังให้ไทยยึด เพราะไม่มีรหัส แล้วหวังแก้เผ็ดสหรัฐ
ทลายเครือข่ายหวยออนไลน์! รวบเจ้ามือใหญ่ ‘บ้านทรัพย์มหาศาล’ คาบ้านพักที่พิมาย
ยูเนสโก โดน แก๊งสแกมเมอร์ แอบอ้างหลอก เอาเงินลงทะเบียน
ยูเนสโก โดน แก๊งสแกมเมอร์ แอบอ้างหลอก เอาเงินลงทะเบียน
มารู้จัก DP-20 โดรนสอดแนมสัญชาติไทย
เขมรระแวงหนัก! คุมเข้มห้ามบิน “โดรน” ทั่วกรุงพนมเปญ หวั่นแผนลอบโจมตี “ฮุน เซน” กระแสโซเชียลไทยถล่มยับ
"อันวาร์" ร้ายลึก "ปานเทพ" แฉเส้นทางอาวุธใหม่จีน ที่ไทยยึดได้จากเขมร พบจีนขายให้แค่ "มาเลย์ฯ"
ดาราดัง "ยุน ซอก ฮวา" เสียชีวิตแล้ว
อย่าเพิ่งทิ้ง! ถูกลอตเตอรี่แต่ลืมไปขึ้นเงิน เช็กให้ชัดระยะเวลา 2 ปี นับจากวันไหนกันแน่?
มารู้จักหน่วย BHQ หน่วยองครักษ์ พิทักษ์ฮุนเซน
รู้หรือไม่ ? ที่มาและประวัติของ "สุกี้ยากี้" เป็นมาอย่างไร ?
ทึ่งทั่วโลก : หุบเขาเทวดาวั้งเซียนกู่" หมู่บ้านที่สร้างอยู่ริมหน้าผา สถานที่ท่องเที่ยวแสนน่าทึ่งของประเทศจีน
ทึ่งทั่วไทย : "น้ำตกแม่กาษา" น้ำตกลำธารใส Unseen แม่สอด จังหวัดตาก























