ฟาโรห์ยุคก่อนค.ศ 1303 มีพาสปอร์ต ในยุคค.ศ. 2018 องค์แรกของโลก
เมื่อวันที่ 23 ก.ย.ที่ผ่านมา เฟซบุ๊กเพจ Services Archaeology and Heritage Association รายงานข่าวสุดแปลกระบุว่า ศพของฟาโรห์แรเมซีส ชำรุดเสียหายเนื่องจากปรสิตกินศพ
ทางการอียิปต์จึงส่งศพของพระองค์ไปให้ฝรั่งเศสซ่อมแซม แต่เนื่องจากฝรั่งเศสมีกฏหมายเกี่ยวกับศพว่า "ศพมนุษย์ทุกคนต้องมีพาสปอร์ต" ทางการอียิปต์จึงต้องออกพาสปอร์ตให้ศพของฟาโรห์ โดยระบุในพาสปอร์ตว่า ชื่อ: แรเมซีสที่ 2 , สัญชาติอียิปต์ วันเกิด: ก่อน ค.ศ.1303 , อาชีพ: กษัตริย์
ประวัติฟาโรห์ แรเมซีสที่ 2
ฟาโรห์แรเมซีสที่ 2 จากหนังเรื่อง The Ten Commandments บัญญัติ 10 ประการ(ออกฉายปี 1959) แสดงโดย ยูล บรีนเนอร์
แรเมซีสที่ 2 หรือ แรมซีสที่ 2 (อังกฤษ: Ramesses II, Rameses II,[ หรือ Ramses II; ประสูติ ราว 1303 ปีก่อนคริสตกาล; สวรรคต กรกฏาคมหรือสิงหาคม 1213 ปีก่อนคริสตกาล;
พระพักตร์สลักของฟาโรห์รามเสสที่สอง ที่มหาวิหารอาบู ซิมเบล
รูปสลักของฟาโรห์รามเสสที่สอง ขณะรบในสงครามคาเดชฟาโรห์รามเสสที่สอง (Ramesses II) หรือ รามเสสมหาราช (Ramesses The Great, )
ฟาโรห์องค์ที่สามแห่งราชวงศ์ที่สิบเก้า (Nineteenth dynasty) เป็นฟาโรห์องค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อียิปต์ ครองราชย์อยู่ระหว่าง 1279 ก่อนคริสต์ศักราช ถึง 1213 ก่อนคริสต์ศักราช เป็นฟาโรห์องค์เดียวกับที่เชื่อว่า คือ ฟาโรห์ที่ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเอกซ์โซดัส (Exodus) ที่ว่าถึงการอพยพทาสชาวยิวออกจากอาณาจักรอียิปต์ของโมเสส
เป็นโอรสองค์โตของฟาโรห์เซติที่หนึ่ง ได้ขึ้นครองราชย์ในปี 1279 ก่อนคริสต์ศักราช หลังจากแย่งชิงอำนาจกันแย่งในหมู่พี่น้อง หลังจากขึ้นครองราชย์แล้ว พระองค์ได้ทรงสร้างเมืองใหญ่ขึ้นบนพื้นที่เดิมซึ่งเคยเป็นที่อยู่และสถานที่ประสูติของพระองค์ คือเมืองปิ-รามเซส และยังได้สร้างมหาวิหารที่มีรูปสลักแทนพระองค์ที่ยิ่งใหญ่ คือ อาบู ซิมเบล (Abu Simbel)
ปัจจุบันร่างของท่านนอนสงบนิ่งอยู่ในพิพิธภัณฑ์ในกรุงไคโร ประเทศอียิปต์
ฟาโรห์รามเสสที่สอง ทรงครองราชย์นานถึง 67 ปี และสิ้นพระชนม์เมื่อพระชนมายุได้ 90 ปีเศษ ซึ่งเมื่อ 30 ปีแรกแห่งการครองราชย์มาถึง พระองค์ได้กระทำพิธีสถาปนาตัวเองเสมือนเทพเจ้า และทำให้สถานะของพระองค์เปลี่ยนไปเป็นสูงส่งยิ่งขึ้น
หลังจากโมเสสนำพาทาสชาวยิวอพยพออกจากอียิปต์ ปัจจุบัน นักประวัติศาสตร์เชื่อว่า พระองค์ได้ให้พระโอรสองค์แรกที่เกิดกับพระนางเนเฟอร์ตารี่ (Nefertari) มเหสีเอก คือ อามุน-เฮอ-เคปิเชฟ (Amun-her-khepeshef แปลว่า อามุนและอาวุธในแขนขวา หรือ อามุนและอาวุธที่แข็งแรง) นำทัพไล่ติดตาม หาได้ใช่ตัวฟาโรห์เองไม่
เนื่องจากเป็นองค์รัชทายาทและเป็นผู้นำกองทัพ ซึ่งตรงนี้ตรงกับบันทึกในพระคัมภีร์เอกซ์โซดัส ว่า ฟาโรห์ได้เจอกับปาฏิหารย์จากพระเจ้าที่เนรมิตให้มีกองไฟกั้นกองทัพอียิปต์กับชาวยิวไว้ ที่ริมทะเลแดง และทะเลแดงได้ถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 ซีก
เมื่อชาวยิวอพยพไปหมดแล้ว กองทัพอียิปต์ได้ติดตามไปและถูกทะเลกลบหมดสิ้น ซึ่งความตอนนี้ ได้ถูกตีความว่า ทะเลแดง (Red Sea) แท้จริงแล้วคือ ทะเลวัชพืช (Reed Sea) ที่อยู่บริเวณตอนเหนือของอียิปต์ เป็นดงอ้อหรือกก เมื่อรถม้าของฟาโรห์ตามไปถึง ไม่สามารถนำรถม้าตามลงไปได้ อามุน-เฮอ-เคปิเชฟ ก็ได้ถูกทาสชาวยิวสังหาร ณ ที่ตรงนั้น ซึ่งในพระคัมภีร์ระบุว่า สิ้นพระชนม์เพราะพระหัตถ์ของพระเจ้า (ซึ่งตรงนี้อาจกลายเป็น มรณกรรมของบุตรหัวปี ของภัยพิบัติทั้ง 10 ในเอกซ์โซดัสก็เป็นได้)
หลังจากนั้น พระองค์ได้โปรดให้เจาะภูเขาสร้างวิหารอาบู ซิมเบล ซึงใช้พระราชทรัพย์ไปมากจากนั้นก็เปิดฉากรบกับฮิตไทต์ในสมัยกษัตริย์มูวาตาลิสซึ่งพระองค์เกือบจะเสียชีวิตในการรบที่คาเดช (Battle of Kadesh) แต่ทหารของพระองค์เข้ามาช่วยไว้ได้ทัน เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ ฟาโรห์องค์ต่อไปที่ได้ขึ้นครองราชย์ คือ เมอร์เนปตาห์ (Merneptah) ซึ่งเป็นหนึ่งในราชบุตรของพระองค์
[แก้] อ้างอิง
The End of The Nile
Ramses wrath of god or man ?