[รีวิวหนังสดๆร้อนๆ] APP WAR เปิดวอร์หนังไทยม้ามืดแห่งปี ดีจนต้องดูให้ได้!! (No Spoil)
รีวิวหนัง APP WAR แอปชนแอป (ใครอยากดูแบบ Liveสด หรือกดนั่งฟังไม่ต้องอ่านก็คลิกในลิ้งค์ได้เลย)
เป็นเรื่องที่ผิดคาดมากๆสำหรับหนังเรื่องที่สองของบ้าน T MOMENT ที่พอดูจบแล้ว กลับรู้สึกประทับใจและรักหนังเรื่องนี้ได้อย่างน่าประหลาด เรียกได้ว่าดีกว่าหนังเรื่องแรกอย่าง โอเวอร์ไซต์ ทลายพุง ไปราวๆ 10 – 15 เท่าตัว
ในความเห็นของผมตอนที่ได้ดูตัวอย่างแรกๆของหนัง รู้สึกว่ามันดูพยายามจะเป็น “ฉลาดเกมส์โกง วอนนาบี”
เลยไม่ได้มีความรู้สึกอยากจะไปดูมาก แม้ว่าเราจะได้เห็นการจัดโปรดักชั่นดีไซน์หรือแม้แต่การออกแบบโปสเตอร์ที่น่าสนใจทีเดียว
แต่ว่าหลังจากกระแสรอบสื่อ ที่มีใครหลายคนออกมารีวิวไปในทิศทางบวกจำนวนหลายคน หลายสำนัก
ผมก็เริ่มคิดละ ว่าเรื่องนี้มันน่าจะมีของมากกว่าที่เห็นในตัวอย่างแน่ๆ
ก็เลยลองไปพิสูจน์ดู และพบว่า ความประทับใจของผมหลักๆที่มีต่อเรื่อง APP WAR มีดังนี้
1. ความกล้าแหกกรอบการเล่าในประเด็นเดิมๆ : หนังได้เลือกใช้การเล่าเรื่องโดยมีการนำเรื่องของ “สตาร์ทอัพ” หรือการทำธุรกิจของคนรุ่นใหม่เข้ามาเกี่ยวข้องในเส้นเรื่อง ทำให้เห็นว่า การคิด การวางแผนของคนรุ่นใหม่ที่อยากประสบความสำเร็จ หรือเป็นเจ้าของกิจการเอง มันต้องฝ่าด่านฝ่าฟันอะไรมาบ้าง ลองนึกถึงหนังอย่างพวก วัยรุ่นพันล้าน หรือของนอกอย่าง Steve Jobs , The Social Network ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ ยังไม่ค่อยเห็นถูกนำมาเล่าผ่านหนังไทยนัก และเรื่องนี้ถือว่าทำได้น่าสนใจมากทีเดียว
2. จังหวะคม บทพูดฉลาด แก๊กหนังสนุก ดนตรีประกอบสมูธ : ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำหนังให้มีคุณภาพได้ และดูสนุกไปในเวลาเดียวกัน เหตุผลที่ปฏิเสธไม่ได้ในการที่หนังเรื่องนึงจะออกมาเวิร์คคือ ทุกอย่างต้องดูกลมกล่อม ลงตัว ถึงแม้ว่าเรื่องนี้ในความกลม อาจไม่พีคเลเวล ฉลาดเกมส์โกง แต่พอดูออกมา รู้สึกเลยว่ามันไม่ใช่แค่ ฉลาดเกมส์โกงวอนนาบี แต่มันมีดีมากกว่าที่เห็นมากๆ จังหวะหนัง การตัดต่อ เล่าเรื่องได้ดีมาก บทพูดถือว่ามีการคิดมาอย่างดี ถึงจะมีมุขแบบตลาดๆออกมาบ้าง แต่ถือว่าอยู่ถูกที่ถูกทาง แก๊กหนังนี่สนุก ตลก เศร้า ซึ้ง มีหลายรสชาติ และถ่ายทอดได้ดีมากๆ และดนตรีของหนังก็ออกมาอย่างถูกที่ถูกทางชวนให้นึกถึงกลิ่นอายสกอร์แบบ The Social Network/Steve Jobs ผสมกับรอมคอมแบบ Love Simon แต่อยู่ในหนังไทยที่มีความ Coming of Age ในตัวเองภายใต้ลุคเท่ๆของหนัง
3. Visual Style / Production Design มุมกล้อง โทนภาพ การเกรดสี และงานอาร์ต : ใครจะคิดว่าเราจะได้เห็นหนังที่ถ่ายในกรุงเทพฯ แต่มีความชิคๆคูลๆประหนึ่งอยู่ในโลกคนละใบกับเราๆ อารมณ์เหมือนอยู่ในย่าน Brooklyn แบบ NEW YORK หรือการถ่ายภาพ มุมกล้องดูหวือหวาไม่แพ้ฉลาดเกมส์โกง และสีภาพที่ถูกเกรดออกมา มีความงดงามชวนให้นึกถึงหนังแบบ LA LA LAND ที่เปลี่ยนแอลเอกลายเป็นเมืองที่เปี่ยมด้วยมนต์เสน่ห์ของนักล่าฝัน เรื่องนี้ก็เช่นกัน องค์ประกอบต่างๆได้ส่งเสริมให้หนังมันดูแพงด้วยตัวมันเอง และงานโปรดักชั่นดีไซน์ถือว่าเนี๊ยบมาก กริบมาก แต่ละฉาก จัดออกมาได้สวยงาม โลเคชั่นนี่ยกนิ้วให้เลย ถือว่าเป็นกรุงเทพที่ดูออกมาราวกับอยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้วจริงๆ
4. Casting : แคสนักแสดงชุดนี้ทำได้ดีมาก ถ้าฝั่งผู้หญิง น้องอรอุ๋ง ถือว่ามาแย่งซีนได้ดีมาก ในขณะที่ฝั่งชาย คนที่เล่นเป็นไต๋ ที่แสดงโดยทู เรารู้สึกว่าเล่นดี เล่นน้อย ได้เยอะ ถ่ายทอดออกมายอดเยี่ยมจนเรารู้สึกว่าน่าจะมีโอกาสเข้าชิงรางวัลช่วงปลายปีได้เลยทีเดียว แต่พระเอก ด้วยลุค คาแรคเตอร์เซอร์ๆ ถือว่าน่าจะเป็นที่น่าสนใจอยู่แล้ว ก็ถือว่าทำได้ดีเลยสำหรับนักแสดงหน้าใหม่ นางเอกก็เช่นกัน
5. เรื่องดี : หนังเรื่องนี้ไม่ได้แค่พูดถึงสตาร์ทอัพเท่านั้นนะ แต่สุดท้าย มันพูดถึงเรื่อง Passion ในการทำสิ่งที่เรารัก และพูดถึงประเด็นที่เราชอบมากๆอย่างการที่จะมีกี่ครั้งกัน ที่เราจะได้เจอคนที่ชอบอะไรเหมือนๆกัน คล้ายๆกัน จนอยากรู้จักได้มากกว่าเดิม และหวังเพียงว่า จังหวะชีวิตของคนทั้งสอง จะมีโอกาสลงตัวระหว่างกัน ก็ต้องไปพิสูจน์ในโรงกันเองว่าสโลแกน “ยามศึกเรารบ ยามพักเรารัก” จะใช้ได้กับหนังเรื่องนี้หรือไม่ ไม่อยากสปอยส์ แต่ชอบมาก แม้ว่าช่วงแรกๆอาจดำเนินเรื่องเร็วไปบ้าง และช่วงท้ายอาจแปร่งๆหน่อย แต่ในแง่การสื่อสารและแมสเสจสำคัญของหนัง ก็ยังทำให้เรารู้สึกรักหนังเรื่องนี้อยู่ดี
สรุปได้ว่า นี่คือหนังไทยน้ำดีที่ควรให้โอกาส ตีตั๋วไปดูในโรงกัน เพราะผมตกใจมากที่วันเปิดตัว ได้มาแค่ล้านกว่าๆเท่านั้น
ในฐานะคนดูหนังและคนทำหนังเล็กๆคนนึง รู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้ ถ้าเราจะไม่ออกตัวเป็นหนึ่งเสียงที่สนับสนุนเรื่องนี้ ไม่งั้นต่อไปหนังไทยอาจเหลือผู้เล่นเพียงค่ายเดียว ไม่ก็สอง และอาจไม่มีใครกล้าออกมาเล่าเรื่องที่แตกต่าง หรือฉีกขนบจากหนังผี หนังตลก หนังรักเดิมๆอีกต่อไป
ถ้าปีนี้ผมเคยเสียน้ำตาให้กับช่วงท้ายของหนัง “น้องพี่ที่รัก”
เรื่องนี้ช่วงท้ายเราก็แอบเสียน้ำตาเช่นกัน ไม่บอกว่าเป็นความรู้สึกแบบไหน
แต่อยากจะบอกว่า ในเรื่องการกล้าคิดกล้าทำ เราเลยให้คะแนนหนังเรื่องนี้สูงกว่า
เพราะการจะยกระดับวงการหนัง มันต้องทะเยอะทะยาน
มันต้องมีความกล้าเสี่ยงออกมาจากลูปเดิมๆ
อยากบอกผู้สร้างว่าขอบคุณที่กล้าเสี่ยงกับโปรเจคนี้
ผมจะเป็นคนนึงที่จะช่วยป่าวประกาศสนับสนุนให้หนังเรื่องนี้อีกแรง
อย่าปล่อยให้หนังไทยดีๆที่คนไทยตั้งใจสร้างต้องตายไปพร้อมๆกับความหวังและความตั้งใจเลยครับ
รีบชวนคนข้างๆ ไม่ก็หาโอกาสลุยไปดูเองกันเลยดีกว่า
สุดท้ายขอฝากอีกโปรเจคนึง เป็นโปรเจคที่เราทำเพราะในรอบหลายๆเดือนที่ผ่านมา เราเห็นข่าวไม่ดีไม่งามเกี่ยวกับพระสงฆ์ หรือคนในผ้าเหลืองเยอะ อยากให้รู้ว่า เงินทำบุญของวัดบางวัดมันไปที่ไหน จุดหมายปลายทางมันทำให้ต้องลุกมาทำหนังเรื่องนี้ ใครอยากรู้ก็กดดูกันต่อเองนะ ถ้าดูแล้วก็อยากให้ดูจนจบ แล้วจะเข้าใจแน่นอน