เฟซบุ๊กของครูชัย "Chaiyapon Chai Chawanwanitchai" ได้โพสท์ข้อความแสดงความคิกเห็นเกี่ยวกับกรณี ทีมนักฟุตบอลเยาวชนหมูป่าฯ ติดถ้ำหลวง และได้รับการช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญนานาชาติช่วยได้จนสำเร็จ จนเป็นข่าวดังทั่วโลกที่ทุกคนต่างให้ความสนใจ และดูเหมือนว่ามีกระแสตอบกลับทั้งดีและไม่ดีมาพร้อมๆกัน โดยครูชัยให้ความเห็นว่าจากกระแสดังกล่าวทำให้ "ทีมฟุตบอลหมูป่าฯ เจอโชคร้ายถึง 3 ชั้น" ตอกเจ็บ "โหดร้ายกว่าธรรมชาติ ก็การตลาดที่เห็นแก่ตัวของมนุษย์เนี่ยล่ะ" โดยระบุว่า
ทีมฟุตบอลหมูป่ากับโชคร้าย 3 ชั้น
โชคร้ายชั้นแรก เป็น ‘เหยื่อ’ ของภัยธรรมชาติ
‘ติดถ้ำเหมือนติดคุก’ ในพื้นที่แคบเท่าแมวดิ้นตายต้องนอนในที่ชื้น พื้นแข็งและเย็น แถมไม่เป็นพื้นราบอากาศน้อย ไม่มีห้องส้วม ไม่ได้ทำกิจกรรมใดๆทั้งสิ้นยาวนานกว่า 2 สัปดาห์
โชคร้ายชั้นสองตกเปน ‘เหยื่อ’ ของการตลาดและ PR ของแบรนด์และองค์กรต่างๆ ที่กระโดดเข้ามาประกาศจะให้ ‘รางวัล’ ปลอบขวัญเพื่อเยียวยาปลอบใจ เพื่อเรียกความสนใจจากสื่อและได้ Earned Media ไปฟรีๆ
ทั้งๆที่ทีมหมูป่าไม่ได้ร้องขอ (และไม่ได้รู้เรื่องด้วย)สิ่งทีมหมูป่าร้องขอเท่าที่ทราบจากข่าวคือข้าวกะเพรา หมูกะทะ และขอออกจากถ้ำแค่นั้น
โชคร้ายขั้นสามตกเป็น ‘เหยื่อ’ ของสื่อและชาวโซเชียล (cyberbully)
ยิ่งมีองค์กรให้ ‘รางวัลปลอบใจ’ เท่าไหร่น้องๆหมูป่ายิ่งถูกแขวะและวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้นเท่านั้นตั้งแต่ตั๋วดูนัดชิงจากฟีฟ่า จนไปถึงทุนการศึกษาจากม.นเรศวร สร้างประเด็นให้ถูกโจมตีได้ตลอด
ตอนนี้น้องหมูป่าทั้ง 13 ยังไม่เห็นเพราะยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลแต่ออกมามาย้อนอ่านยังไงก็ได้เห็นว่าเขาถูก ‘ดึง’ ไปเป็นเหยื่อให้ถูก ‘ด่า’ มากแค่ไหนทั้งๆที่เขาไม่รู้ตัว ไม่ได้ร้องขอและไม่ได้รู้เห็นอะไรด้วยเลย
พวกเขาอาจจะรู้สึกกระแสน้ำที่ท่วมถ้ำว่าร้ายแรงแล้วแต่เทียบไม่ได้กับกระแสโซเชียลที่กระหน่ำซ้ำเติมเขา อย่างที่เขาจะไม่มีทางได้เจอมาก่อนในชีวิตนี้
ทีมหมูป่าไม่ได้ทำผิดอะไรที่ไปเที่ยวถ้ำเกิดอุบัติเหตุทางธรรมชาติที่ทำให้เกิดเหตุการณ์สุดวิสัยและทีมหมู่ป่าไม่ได้ทำผิดอะไร
ที่อยู่ๆมีองค์กรต่างๆเสนอ‘รางวัลปลอบขวัญ’ เพื่อเยียวยาหัวใจเพราะเขาไม่ได้ร้องขอและไม่ได้รู้เรื่องเลย
แบรนด์หรือองค์กรต่างๆที่เสนอถ้าเสนอให้ด้วยใจ เขาก็ไม่ผิดอะไรแต่ถ้าเสนอแบบหวังผลทางการตลาดตั้งใจโหนกระแส โดยไม่สนผลลัพธ์หวังแค่ได้ผลเชิง PR ได้ awareness อย่างเดียวและเผลอๆ รู้ล่วงหน้าว่าน้องๆจะโดนกระแสเล่นงานด้วยซ้ำ!
โหดร้ายกว่าธรรมชาติ ก็การตลาดที่เห็นแก่ตัวของมนุษย์เนี่ยล่ะ
ผมเขียนไปแล้วในบทความที่แล้วก่อนหน้าว่า...“13 หมูป่า = ผู้ประสบภัยอาสานับพันชีวิต = Hero”
ผู้ประสบภัยควรให้คำขอบคุณและได้รับการปลอบขวัญHero ควรได้รับรางวัลLogic พื้นฐานก็มีพื้นฐานก็มีเท่านี้
ถ้ามีคำถามว่าพวกเขาควรได้รางวัลปลอบขวัญไหม?ส่วนตัวผมมองว่า...“วันนี้ที่เขาจะได้ออกมาจากถ้ำ”ออกมาเจอหน้าพ่อแม่ ออกมาเรียนหนังสือ ได้แข่งบอล และได้ใช้ชีวิตตามปกติได้
มันคือรางวัลปลอบขวัญที่ดีที่สุดในชีวิตของเขาทั้ง 13 แล้ว มันคือผลลัพธ์แห่งพลังใจของผู้คนนับล้าน มันคือความเสียสละของอาสาสมัครนับพันนับหมื่น มันคือสิ่งยืนยันความมีน้ำใจของคนไทยที่ไม่เคยทิ้งกัน
จากวันที่เกือบตาย ไม่รู้จะมีใครมาเจอไหมจนถึงวันที่ต้องติดคุกอยู้ในถ้ำอย่างยาวนานจนถึงวันที่ได้ออกมา เห็นหน้าพ่อแม่และได้ใช้ชีวิตอีกครั้ง
มันคือ ‘รางวัล’ ที่มีค่าสูงสุดและดีที่สุดที่เขาอยากได้แล้วรางวัลนี้มาจากแรงใจอันเสียสละที่ไม่หวังผลตอบแทนใดๆของอาสาสมัครนับหมื่นจากหลายสิบชาติ ที่ยอมจ่ายทุกราคาทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือให้เขาออกมารวมถึงได้รับกำลังใจจากคนไทยทั้งชาติและคนระดับโลกอีกมากมาย
มันเป็น ‘รางวัล’ ที่ดีที่สุดในชีวิตของพวกเขาแล้วโดยอาจไม่จำเป็นต้องได้รับรางวัลปลอบใจอื่นใดอีก เพราะไม่มีรางวัลไหนจะมีค่าเสมอเหมือนเท่านี้อีกแล้ว
อยากให้ทุกอย่างจบลงด้วยดีอย่าให้น้องหมูป่าที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ที่เจ็บปวดสุดๆในถ้ำมาแล้วต้องมาเจ็บปวดกว่านี้ นอกถ้ำอีกเลยบทเรียนที่ได้...มันมากเกินพอสำหรับเด็กอายุ 12 แล้วล่ะ
#ครูชัย
Credit : ขอบคุณภาพจาก idol_addict
ขอบคุณที่มา: Chaiyapon Chai Chawanwanitchai