ทิศทางเกษตรไทย “ยุคแจ๊คหม่า อาลีบาบา มาเยือน”
“หนึ่งนาที แจ๊คหม่า....สามารถขายทุเรียนได้ 80,000 ลูก” ก่อเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานาทั้งแง่บวกและลบ แนวโน้มส่วนใหญ่เป็นไปในทางที่กลัวว่า “แจ๊ค หม่า....จะเข้ามายึดประเทศไทย” เหมือนกับหลายประเทศที่คนจีนเข้าไปลงทุนธุรกิจการค้าด้วย แต่คนในประเทศนั้นกลับไม่ได้รับประโยชน์เท่าที่ควร
ล่าสุดที่ได้มีโอกาสไปดูงานจังหวัดเชียงราย เนื่องด้วยนโยบายจากระดับบนเพื่อส่งเสริมและผลักดันเรื่องเกษตรอินทรีย์และปลอดสารพิษให้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อขยายการรับรู้เรื่องการเกษตรอินทรีย์และปลอดสารพิษให้แก่หน่วยงาน สหกรณ์ และ ธกส. จึงได้มีโอกาสข้ามโขงไปชมฝั่งประเทศลาว ซึ่งมีเศรษฐีจีนเข้ามาลงทุนเปิดเอ็นเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์ และได้มีโอกาสสัมผัสและรับรูปข้อมูลจากการบอกเล่าจากคณะที่พาไปถึงเรื่องการจ้างงาน และผลประโยชน์ที่เห็นแก่ได้ของจีนพอสมควร
ซึ่งรูปแบบการเข้ามาทำมาหากินของคนจีนนั้นค่อนข้างผูกขาด คนท้องถิ่นแทบไม่ได้ประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น เพราะแม้แต่คนขับเรือข้ามฟากก็ยังเป็นคนจีน พอขึ้นฝั่งผ่านระบบตรวจสอบพาสปอร์ตเรียบร้อย ก็ยังมีพนักงานที่เป็นคนจีนอีกเช่นกันขับรถหรูมารับโดยสถานที่นี้ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องการพนันอย่างเดียว ยังมีสถานที่ออกกำลังกาย ร้านอาหารแบบสิบสองปันนาและอื่นๆ อีกมากมายที่เป็นคอมมูนิตี้ดึงดูดผู้คนให้ไปเที่ยวจับจ่ายใช้สอย โดยบุคลากรทั้งหมดส่วนใหญ่เป็น “คนจีน” ส่วนหน้าที่ในระดับล่างๆ จึงพอเห็นคนท้องถิ่นที่เป็นคนลาว สิ่งต่างๆ ที่ได้เห็นจึงสะท้อนความคิดบางอย่างให้ต้องตระหนัก คือการคบกับ “คนจีน” นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ โดยเฉพาะในระดับประเทศ ระดับนโยบาย การจะตัดสินใจอะไรลงไปโดยไม่สอบถามความเห็นของคนในชาติให้ดีเสียก่อน บางทีอาจจะทำให้ประเทศของเราสูญเสียโอกาสหลายๆอย่างไปโดยไม่สามารถกู้กลับคืนมาได้ โดยที่เจ้าของประเทศได้เพียงเศษเงินเพียงเล็กน้อย
ย้อนกลับมาดูประเทศไทยในกรณีของ “แจ๊คหม่า รีเทิร์น” เพราะก่อนหน้านี้เคยเบี้ยวรัฐบาลไทยไปคบหามาเลเซียแล้วครั้งหนึ่ง!!! หวังว่าคงยังไม่ลืมกัน แต่การมาครั้งนี้รัฐบาลของเราก็ต้อนรับขับสู้น่าดู ให้สิทธิพิเศษมากมายหลายอย่าง จนส่งผลกระทบให้ธุรกิจการค้าขายออนไลน์ของคนไทยล้มหายตายจากไปหลายราย ล่าสุดอย่างตลาดดอทคอมยังต้องจับมือเบียร์ช้างอย่างไทยเบฟฯ เพื่อช่วยและลุยไปด้วยกัน ก็คิดดูล่ะกัน...ว่าความเปลี่ยนแปลงระรอกแรกยังสั่นสะเทือนได้ขนาดนี้ ระรอกที่ตามมาหลังๆ จากนี้จะเป็นอย่างไร
ในฐานะที่อยู่ในแวดวงเกษตร ก็ขออนุญาตเขียนในมุมมองภาคการเกษตรของประเทศไทยเราสักนิดนะครับ ส่วนตัวนั้นคิดว่าบ้านเรามีความหลากหลายในกลุ่มของพืชผักผลไม้ ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ดี และสินค้าเกษตรหลายอย่างยังคงไปต่อได้ โดยเฉพาะเรื่องราคาน่าจะดีอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวผลิตภัณฑ์ที่คนจีนให้ความสนใจ ในการอุปโภคบริโภค เช่น ทุเรียน และข้าวหอมมะลิ แต่ถ้ามีพืชชนิดหนึ่งชนิดใดที่ประเทศจีนผลิตได้เอง.....พืชชนิดนั้นเกษตรกรไทยเราควร “เลิก” ปลูกครับ ”อย่าฝืน” เพราะต้องยอมรับความจริงว่า “เราไม่สามารถสู้เรื่องต้นทุนกับจีน” ได้ อย่าว่าแต่ประเทศไทยเลย ตอนนี้หลายประเทศทั่วโลกทั้งยุโรปและอเมริกาก็ยังไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนกับประเทศจีนได้ ถ้านึกภาพไม่ออกให้ย้อนกลับไปดูอดีตที่ไทยเราทำ FTA กับจีน ก็ทำให้ หอม กระเทียม และลิ้นจี่ของไทยสูญพันธุ์ไปโดยปริยาย
แต่ที่สำคัญมีอยู่สิ่งหนึ่งที่ต้องปรับเปลี่ยน โดยเฉพาะรัฐบาลยิ่งต้องช่วยกันรณรงค์ส่งเสริมนั่นก็คือ การทำให้ผักผลไม้ของไทยมีคุณภาพได้มาตรฐาน และปลอดภัยไร้สารพิษ หรือจะให้โดดเด่นก็คือการพัฒนาทำให้เป็นสินค้า “ออร์แกนิค” ทำให้เป็นจุดแข็งที่ชัดเจนไปเลย เพื่อใช้ในการต่อรองแข่งขันกับสินค้าจากจีนที่จะทะลักหลั่งไหลเข้ามา เพราะผู้คนทั่วโลกยังมองเรื่องสินค้าจีนในแง่ที่ว่า ด้อยคุณภาพ ไม่ปลอดภัย เพราะยังมีข้าวสารปลอม ไข่ปลอม และแม้แต่ผักก็ยังปลอม เป็นต้น เราจึงควรเน้นสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า จึงจะมีโอกาสแข่งขันกับประเทศจีนหรือนักลงทุนจีนได้ในอนาคต
สนับสนุนบทความโดยนายมนตรี บุญจรัส
กรรมการผู้จัดการบริษัท ไทยกรีน อะโกร จำกัด (ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ)