เปิดใจ“เจ๊ะฆูมัง”หลังตัดสินใจเข้าร่วมโครงการพาคนกลับบ้าน
การให้โอกาสต่อผู้กระทำความผิดให้กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี ถือได้ว่าเป็นการเปิดพื้นที่ให้กับคนที่หลงผิดมีที่ยืนในสังคม กลับมาร่วมพัฒนาชาติไทย พัฒนาถิ่นเกิด อีกทั้งให้คนเหล่านี้กลับมาอยู่กับครอบครัวอันเป็นที่รักยิ่งแทนการหลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่รัฐ
“โครงการพาคนกลับบ้าน”เป็นโครงการหนึ่งของหน่วยงานความมั่นคงที่เปิดโอกาสให้กับผู้ที่หลงผิดได้รายงานตัวแสดงตน โดยความสมัครใจต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ในห้วงที่ผ่านมามีทั้งผู้ที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าว
ผู้ที่ไม่เห็นด้วยได้เคลื่อนไหวกล่าวหาโจมตี“โครงการพาคนกลับบ้าน”ตั้งขึ้นมาเพื่อเอาอกเอาใจโจร เป็นโครงการพาโจรกลับบ้าน อีกทั้งกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐที่ไม่ต้องการสูญเสียสมาชิกอาร์เคเค หันมาร่วมมือกับรัฐละทิ้งกลุ่มขบวนการ และที่สำคัญไม่อยากเสียมวลชนแนวร่วมให้การสนับสนุนโครงการต่างๆ ของรัฐแทนการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาที่ผ่านมา
ผู้เขียนได้รับข้อมูลทางลับ มีผู้หลงผิดจำนวนมากติดต่อขอเข้าร่วมโครงการพาคนกลับบ้าน โดยรัฐยินดีจัดที่พักพิงดูแลความปลอดภัยทั้งครอบครัว จัดหาที่ดินทำกินทำการอบรมวิชาชีพให้ โดยมีสัญญาจะต้องวางอาวุธและมอบอาวุธให้กับทางการโดยไม่มีเงื่อนไข
เพื่อพิสูจน์ความจริงข้อมูลตามที่ได้รับข้อมูลทางลับ หรือเป็นแค่ข่าวลวง ข่าวโคมลอยที่ตั้งใจปล่อยเพื่อต้องการหวังผลอะไรบางอย่าง ผู้เขียนได้ติดต่อไปยังผู้ประสานงานท่านหนึ่งเพื่อเดินทางไปพูดคุยพร้อมคำยืนยันจากปากแกนนำอาร์เคเคโดยตรง ว่าที่มีกระแสข่าวโอดครวญอยู่อย่างลำบาก ต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุนอดมื้อกินมื้อ ถูกแกนนำทอดทิ้งไร้การเหลียวแลจริงเท็จเป็นประการใด
ถึงวันนัดหมายผู้เขียนได้เดินทางไปยังจุดนัดพบกับผู้ประสานงานยังสถานที่แห่งหนึ่งในอำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส ซึ่งอยู่ใกล้เทือกเขาตะเว หลังพบกันคณะได้เดินทางต่อไปยังจุดหมายผ่านถนนลูกรัง เมื่อเดินทางสุดถนนต้องเดินเท้าเปล่าลัดเลาะไปตามไหล่เขา ผ่านลำน้ำไหลเอื่อยๆ ใสเย็น สภาพพื้นที่ทั่วไปอุดมสมบูรณ์มาก มีเรือกสวนผลไม้สลับสวนยางพาราเป็นระยะๆ รู้สึกร่มรื่นกับธรรมชาติอย่างบอกไม่ถูก ใช้เวลาเดินทางร่วม 4 ชั่วโมงก็ถึงยังที่นัดหมายกับแกนนำอาร์เคเค
ทันทีที่เดินทางมาถึงสายตาผู้เขียนมองเห็นก็คือกระต๊อบหลังเล็กๆ อยู่ตรงหน้า ณ ตรงนั้นมีชายฉกรรจ์ 4 คน นั่งรออยู่ก่อนแล้ว หนึ่งในนั้นกล่าวแนะนำตนเองด้วยสำเนียงภาษาไทยในแบบเอกลักษณ์ที่พูดไม่ค่อยชัดแต่พอฟังเข้าใจว่าเป็นแกนนำระดับสั่งการ โดยตนเองมีชื่อเรียกในขบวนการว่า “เจ๊ะฆูมัง”ซึ่งอดีตเคยเป็นครูสอนตาดีกาแห่งหนึ่งในอำเภอเจาะไอร้อง หลังเข้าร่วมขบวนการมีหน้าที่รับผิดชอบในปฏิบัติการของกลุ่มติดอาวุธอาร์เคเคในพื้นที่ “เจ๊ะฆูมัง” ได้กล่าวว่าเขาและลูกน้องได้เดินเท้าลงจากฐานบนเทือกเขาตะเวมาตั้งแต่เมื่อวานเพื่อมาพบกับผู้เขียนตามที่ตกลงกันไว้กับผู้ประสานงาน
“เจ๊ะฆูมัง”ได้เล่าการใช้ชีวิตบนฐานเทือกเขาตะเวให้ฟังว่า ต้องอยู่อย่างยากลำบาก โดยเฉพาะจะต้องระวังสัตว์ป่าซึ่งมีนิสัยดุร้ายเป็นพิเศษ อีกทั้งต้องคอยหลบหลีกเจ้าหน้าที่ ที่เปิดยุทธการไล่ล่ากลุ่มของตน การจะใช้ชีวิตในป่าก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ซึ่งมีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการใช้ชีวิตปกติในหมู่บ้าน ส่วนการเลือกตั้งฐานที่มั่นนั้น จะมีการเน้นจุดใกล้แหล่งน้ำมากให้มากที่สุด และจะต้องเป็นพื้นที่ป่าอุดมสมบูรณ์ สามารถหาของป่ามากินเพื่อประทังชีวิตและความอยู่รอด
ส่วนการทำหน้าที่หรือภารกิจที่มุ่งให้เกิดความวุ่นวายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของกลุ่มขบวนการนั้น ซึ่งได้นำไปสู่ความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินนั้น “เจ๊ะฆูมัง” กล่าวว่าจะต้องรอรับคำสั่งให้ทำงาน และรู้จักเพียงผู้สั่งงานเพียงคนเดียวเท่านั้น ส่วนแกนนำสั่งการที่มีลำดับที่ใหญ่กว่านั้นจะไม่มีการเปิดเผยชื่อตำแหน่ง… รู้เพียงแค่ว่าเป็นคนกว้างขวางใหญ่โต
“เจ๊ะฆูมัง” ยังเล่าต่อว่า สาเหตุที่ตนออกมาเปิดเผยข้อมูลและเปิดใจในครั้งนี้ เพราะตนเองและสมาชิกในกลุ่มต้องทนอยู่กับความลำบาก เนื่องจากถูกแกนนำกลุ่มขบวนการทอดทิ้งไม่เหลียวแล นอกจากต้องอดทนกับสภาพความเป็นอยู่แล้ว กลับมาทบทวนต่อการเข้าร่วมขบวนการและชีวิตในอนาคตที่จะได้รับ“ว่าคุ้มหรือไม่”โดยมีเพื่อนหลายคนเริ่มปรึกษากันถึงแนวทางเดินใหม่ และมีข้อสรุปตกลงจะขอเข้าร่วม“โครงการพาคนกลับบ้าน”เพื่อกลับไปใช้ชีวิตอย่างสันติสุขกับครอบครัว
การที่ตนเองและเพื่อนร่วมอุดมการณ์ต้องมาอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้ต่อไปคงไม่ได้มีผลดีอะไรกับทุกคนและครอบครัว การจะไปไหนมาไหนกับครอบครัวก็ไม่ได้หวั่นเกรงกลัวเจ้าหน้าที่จะจับกุม ซึ่งไม่ใช่หนทางที่สามารถทำให้เรามีความสุขได้เลย ขณะเดียวกันเมื่อใครในกลุ่มมีคดีติดตัวแล้ว ขบวนการไม่เคยหยิบยื่นความช่วยเหลือให้แต่อย่างใดเลยที่ผ่านมา
“เจ๊ะฆูมัง”ยังฝากบอกไปยังระดับแกนนำผู้บงการซึ่งนั่งสั่งการใหญ่อยู่ในขบวนการให้รับรู้ว่าสิ่งที่พวกตนและเพื่อนสมาชิกทั้งหลายได้ทำการต่อสู้อยู่ทุกวันนี้ เปรียบเสมือนกับคนอยู่บนเรือที่ลอยไปกับกระแสน้ำ ทั้งอนาคตหรือปัจจุบันพวกเรายังไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร หากวันหนึ่งต้องถูกจับกุม หรือเกิดอะไรขึ้น ใครที่อยู่ในขบวนการควรที่จะหยิบยื่นความช่วยเหลือเข้ามาบ้าง ไม่ใช่แล้งน้ำใจอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ แต่ที่ทุกคนทำเพราะเชื่อสิ่งที่ขบวนการพยายามให้เชื่อ ด้วยการส่งผู้นำศาสนามาบิดเบือนหลักคำสอน และได้ปลูกฝังว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นผลบุญได้ขึ้นสวรรค์
“เจ๊ะฆูมัง”ยังได้กล่าวความคิดอันแรงกล้าของตนเองว่าไม่เคยคิดหลบหนี ต่อสู้เพื่อขบวนการ แต่เมื่อความจริงทั้งหมดถูกเปิดเผย อุดมการณ์และความคิดที่ตนเองเชื่อมาโดยตลอดนั้นว่ามันไม่ใช่ การสั่งให้ทำการก่อเหตุด้วยการลอบยิง ลอบระเบิด ทำร้ายเจ้าหน้าที่ หรือแม้แต่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ เหล่าผู้บงการไม่เคยคิดถึงหลักมนุษยธรรมและคำนึงถึงความถูกต้อง มีแต่จะสั่งการให้สร้างความรุนแรงยิ่งๆ ขึ้น จนมีความรู้สึกว่าเป็นการกระทำที่ป่าเถื่อน สุดโต่งไม่ถูกต้องและผิดหลักศาสนาคำสอนอย่างรุนแรง
เขายังเชื่อว่าหากวันข้างหน้าหากตนเองต้องตายจากไปกับการต่อสู้ คงเป็นรูปแบบเดิมๆ ที่ขบวนการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษที่ทำการต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ แต่อนาคตของครอบครัวล่ะ!! พ่อแม่ และลูกเมีย โดยเฉพาะลูกที่จะเติบโตขึ้นมาเขาจะเลือกทางเดินและใช้ชีวิตเช่นไร?
“เจ๊ะฆูมัง”ได้กล่าวทิ้งท้ายฝากไปยังเพื่อนๆ ที่อยู่ในขบวนการหรือที่คิดอยากจะเข้าไปนั้น จงคิดให้จงหนัก เพราะหากเข้าไปในวังวนความชั่วร้ายแล้วจะถอนตัวลำบากอย่าไปหลงเชื่อคำลวงของขบวนการ เพราะท้ายที่สุดแล้วผู้ได้รับผลกระทบคือครอบครัวของเราเอง ที่ต้องอยู่อย่างลำบากไม่ได้รับการเหลียวแลจากขบวนการเลย
จะเห็นได้ว่าจากข้อมูลทางลับ มีผู้หลงผิดจำนวนมากติดต่อขอเข้าร่วมโครงการพาคนกลับบ้านนั้นมีมูลความจริง และได้ติดต่อมอบตัวต่อพลโทปิยะวัฒน์ นาควานิช ท่านแม่ทัพภาคที่ 4 ซึ่งคาดว่าแนวร่วมส่วนใหญ่เริ่มให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตคนในครอบครัวมากกว่า “เอกราชจอมปลอม” ของนายทุนที่กุขึ้นมาเพื่อใช้หลอกผู้คนมาแสนนานโดยที่ไม่เคยตอบแทนอะไร? นอกจากคำขู่และมอบความตายให้เท่านั้น…