ข้าวพันธุ์ กข 43 ที่มีระดับน้ำตาลต่ำ เหมาะกับตลาดคนรักสุขภาพ ผู้ควบคุมน้ำหนัก เบาหวานและไต
เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561 นางสาว ชุติมา บุณยประภัศร รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการทำแผนตลาดนำการผลิตให้กับข้าวขาวพันธุ์ใหม่ของไทย หรือข้าวพันธุ์ กข 43 ซึ่งเป็นผลจากการวิจัยของกรมการข้าวที่ได้พัฒนาพันธุ์ข้าวกข 43 ขึ้นมา โดยมีลักษณะพิเศษมากกว่าข้าวขาวพันธุ์ปกติทั่วไป เพราะโรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้วิจัยและพบว่าพันธุ์ข้าวกข 43 มีค่าแตกตัวน้ำตาลน้อย และค่าดัชนีน้ำตาลอยู่ในระดับปานกลางค่อนข้างต่ำ โดยคาร์โบไฮเดรตของข้าวมีลักษณะที่ทนต่อการย่อยได้ดีกว่าข้าวอมิโลสต่ำกว่าพันธุ์อื่นๆ ถือเป็นทางเลือกให้กับคนรักสุขภาพ ผู้ควบคุมน้ำหนักและกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคไต
“ไม่ได้หมายความว่าข้าวกข43 จะช่วยป้องกันโรคเบาหวานหรือโรคไต แต่เป็นข้าวที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคดังกล่าว เพราะข้าวมีน้ำตาลต่ำ เป็นข้าวเพื่อสุขภาพที่เหมาะสำหรับผู้ควบคุมน้ำหนัก ดังนั้นราคาข้าวชนิดนี้จะต้องสูงกว่าข้าวขาวปกติทั่วไป” น.ส.ชุติมา กล่าว
สำหรับแผนการหาตลาดให้กับข้าวกข 43 โดยปีนี้คาดว่าจะมีผลผลิตข้าวกข 43 ออกมาประมาณ 600 ตัน หรือส่งเสริมการปลูกประมาณ 3,000 ไร่ จากที่กรมการข้าวได้ส่งเสริมให้กลุ่มเกษตรกรนาแปลงใหญ่ได้ทดลองปลูกเมื่อช่วงปลายปี 2560 ที่ผ่านมา มีผลผลิตข้าวออกมา 20 ตัน เนื่องจากเป็นข้าวที่ผลผลิตต่อไร่ไม่สูง หรือประมาณ 450 กก./ไร่ น้อยกว่าการปลูกข้าวขาวปกติที่จะมีผลผลิต 600-700 กก./ไร่ ดังนั้นกระทรวงพาณิชย์จะเป็นผู้หาตลาดเพื่อรองรับข้าวดังกล่าว และดูความนิยมของตลาด หากได้รับความนิยมก็จะขยายการเพาะปลูก ซึ่งกรมการข้าวมีศักยภาพที่จะให้เกษตรกรเพาะปลูกได้ถึง 3 แสนไร่/ปี
ปีการผลิต 2560/61 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้คัดเลือกสหกรณ์ที่มีศักยภาพ วางแผนการผลิตภายใต้ระบบนาแปลงใหญ่ ทั้งนาปีและนาปรัง
ในปีการผลิต 2560/61 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์คัดเลือกสหกรณ์ที่มีศักยภาพ วางแผนการผลิตภายใต้ระบบนาแปลงใหญ่ นาปี มีพื้นที่รวม 100 ไร่ ผลผลิตรวม 20 ตันข้าวเปลือก วางตลาดโดยสหกรณ์การเกษตรดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรีเป็นผู้ผลิตและจำหน่าย
ส่วนนาปรังมีพื้นที่รวมประมาณ 3,000 ไร่ คาดว่าจะมีผลผลิตประมาณ 600 ตันข้าวเปลือก และจะทำการขยายการเพาะปลูกในปีการผลิต 2561/62
ทั้งนี้ ข้าวพันธุ์กข 43 กรมการข้าวได้ส่งเสริมให้มีการเพาะปลูกเฉพาะเกษตรกรนาแปลงใหญ่ และสีแปรจากกลุ่มสหกรณ์และโรงสีที่ได้รับอนุญาตจากกรมการข้าวข้าวเท่านั้น ซึ่งจะต้องเป็นสหกรณ์หรือโรงสีที่มาตรฐาน GMP เมื่อได้รับอนุญาตจะได้รับตรารับรองโดยกรมการข้าว เพื่อป้องกันปัญหาการนำข้าวชนิดพิเศษไปปลอมปนกับข้าวขาวปกติ หรือปลอมเครื่องหมายรับรอง ซึ่งกรมการข้าวได้นำตรารับรองเป็นลายหมากรุกมาจะทะเบียนเครื่องหมายกับกรมทรัพย์สินทางปัญญาแล้ว หากผู้ใดเลียนแบบเครื่องหมายมีโทษจำคุก 2 ปี ปรับ 2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ถ้าปลอมเครื่องหมายมีโทษจำคุก 4 ปี ปรับ 4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์จะเปิดให้โรงสีหรือผู้ประกอบการที่สนใจเป็นตัวแทนจำหน่ายข้าวพันธุ์กข 43 ซึ่งสามารถสมัครมาได้ที่กระทรวงพาณิชย์ภายในวันที่ 15 ก.พ.นี้ โดยผู้ที่สนใจจะต้องมีมาตรฐาน GMP และมีแผนการตลาดนำเสนอว่าจะจัดจำหน่ายอย่างไร ส่วนราคาจำหน่ายจะมีการหารืออีกครั้งว่าจะตั้งราคาที่เหมาะสมอย่างไร แต่ราคาจะอยู่ในช่วงระหว่างข้าวหอมมะลิและข้าวหอมปทุมธานี โดยจะมีการคำนวณต้นทุนการเพาะปลูกและกำไรที่เกษตรกรจะได้รับเพื่อความเหมาะสมต่อไป
“ข้าวชนิดนี้ถือเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับตลาดข้าวของไทย และเพาะปลูกได้เฉพาะพื้นที่ภาคกลางและภาคเหนือตอนล่างเท่านั้น เนื่องจากเป็นพื้นที่เหมาะสม โดยผลผลิตจะออกในช่วงข้าวเปลือกนาปรัง หรือประมาณเดือนเม.ย.-พ.ค.นี้ ดังนั้นจึงต้องหาตลาดรองรับเพื่อดูความต้องการตามแผนดีมานด์นำผลผลิต ซึ่งราคาที่มีการขายช่วงนำร่องของการเพาะปลูกอยู่ที่ 80 บาท/กก. แต่นำมาคิดไม่ได้ เพราะผลผลิตออกมาแค่ 20 ตัน แต่เมื่อผลผลิตมากขึ้นต้นทุนก็จะเปลี่ยนแปลงไป” น.ส.ชุติมา กล่าว