ดร.สมคิด ดึง HKETO มาไทย: บ่มิไก๊
ดร.สมคิดคุยว่าตนสามารถดึง HKETO มาในประเทศไทยได้ โดยดึงออกจากปากของเวียดนาม แถมท้าท้ายว่า "มีใครทำได้บ้าง" แต่ ดร.โสภณวิเคราะห์สวนว่า แค่นี้ไม่มีอะไร ถือว่า "บ่มิไก๊" การคุยโวเกินจริง จะทำให้เสียภาพพจน์ได้ ควรแก้ไขด่วน
"ฮ่องกง มีที่ไหนในโลกนี้ มีใครบ้างที่ทำได้ เขากำลังจะไปตั้ง Headquarters ของฮ่องกงที่เวียดนาม เราไปดึงช้อนออกจากปากเวียดนามมาสู่เรา เขาประกาศตั้ง Hong Kong ETO ที่ประเทศไทย" (https://goo.gl/CDAQPd นาทีที่ 31:02-31:24) ข้างต้นคือปาฐกถาของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ในพิธีเปิดงานสัมมนา "THAILAND 2018" จัดโดย นสพ.ประชาชาติธุรกิจ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2560 ณ ห้องบอลรูม ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
สิ่งที่ ดร.สมคิดพูดคือการคุยโวที่มาก (Over) เกินจริง แม้จะจริงที่ไทยทำการข้างต้นสำเร็จ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเป็นพิเศษตาม "ราคาคุย" เลย ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย (www.area.co.th) ให้ข้อมูลที่ชัดเจนไว้ดังนี้:
1. ฮ่องกงเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ไม่ใช่ประเทศ จึงไม่มีสถานทูต แต่ตั้งสำนักงานตัวแทน (ไม่ใช่ Headquarters อย่างที่ ดร.สมคิดพูด) ในบางประเทศที่มีธุรกิจต่อกันมากเป็นพิเศษ สำนักงานตัวแทนนี้ก็คือ Hong Kong Economic and Trade Office (HKETO) ก็คล้ายกับไต้หวันก็มี Taipei Economic and Trade Office แต่เดี๋ยวนี้เปลี่ยนเป็น Taipei Economic and Cultural Office in Thailand
2. HKETO ในปัจจุบันมีอยู่ที่ จาการ์ตา เจนีวา ซานฟรานซิสโก ซิดนีย์ โตเกียว โตรอนโต นิวยอร์ก บรัสเซลส์ เบอร์ลิน ลอนดอน วอชิงตัน สิงคโปร์ คือในภูมิภาคอาเซียนมาในสิงคโปร์และอินโดนีเซียก่อนที่ฮ่องกงคิดจะไปตั้งที่เวียดนาม เขาเห็นความสำคัญของสองประเทศนี้ก่อนไทยมานานแล้ว เพราะคงมีมูลค่าการค้าและการลงทุนมากกว่าไทยมากนัก
3. การที่ไทยไปชวนฮ่องกงมาตั้ง HKETO ในไทยแทนที่จะเป็นในเวียดนามนั้น ก็ดีเหมือนกัน แต่ก็คงไม่ได้มีผลอะไรต่อประเทศชาติมากนัก แต่สิ่งหนึ่งที่ประชาชนทั่วไปไม่มีโอกาสทราบก็คือ ไทยเราไป "ประเคน" อะไรเพื่อ "ล่อใจ" เจ้าหน้าที่ฮ่องกงให้ตัดสินใจใหม่มาตั้งสำนักงานในไทย
4. อันที่จริงฮ่องกงก็ยังมีสภาพัฒนาการค้าแห่งฮ่องกง (Hong Kong Trade Development Council) ซึ่งคล้ายส่วนราชการผสมกับหอการค้า โดยมีผู้นำธุรกิจสำคัญและข้าราชการมาบริหารสภาแห่งนี้ เพื่อเป็นตัวประสานงานด้านการค้าและการลงทุนระหว่างฮ่องกงกับประเทศต่าง ๆ สภาแห่งนี้มีทั้งในกรุงเทพมหานคร นครโฮจิมินห์ซิตี้ กรุงกัวลาลัมเปอร์ สิงคโปร์ และกรุงจาการ์ตา รวมทั้งใน 30 ประเทศทั่วโลกอีกด้วย ดังนั้นแม้เวียดนามจะไม่มี HKETO ก็ไม่มีปัญหาใด ๆ ในการค้าขายกับฮ่องกง
5. สินค้าไทยส่งออกไปฮ่องกงในปี 2559 มูลค่า 11,472 ล้านเหรียญสหรัฐ (https://goo.gl/tqKhpu) ในขณะที่ไทยนำเข้าสินค้าจากฮ่องกงในปี 2559 มูลค่า 1,599 ล้านเหรียญสหรัฐ (https://goo.gl/k2S3xY) สำหรับเวียดนาม ฮ่องกงส่งออกสินค้าไปเวียดนามในปี 2559 เป็นเงิน 9,253 เหรียญสหรัฐ ในขณะที่ฮ่องกงนำเข้าสินค้าจากเวียดนามในปีเดียวกัน เป็นเงิน 6,957 ล้านเหรียญสหรัฐ (https://goo.gl/YiJqaA) มูลค่าการค้าระหว่างฮ่องกงกับเวียดนามมีมากกว่าไทย
6. ในปี 2559 ฮ่องกงขอรับการส่งเสริมการลงทุนในประเทศไทย เป็นเงิน 20,165 ล้านบาท และได้รับการอนุมัติ 8,602 ล้านบาท (https://goo.gl/b67GrW) ในขณะที่ในปีเดียวกันฮ่องกงลงทุนในเวียดนาม 1,640 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 54,120 ล้านบาท (https://goo.gl/fzVe91) มากกว่าที่มาลงทุนในประเทศไทยเสียอีก
7. ในช่วงปี 2556-2558 ฮ่องกงลงทุนหลักๆ ในประเทศสำคัญๆ ได้แก่ หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน จีน หมู่เกาะเคย์แมน อังกฤษ เบอร์มิวดา ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา แคนาดา สิงคโปร์ และลักเซ็มเบอร์ ในส่วนอื่น ๆ ของโลก (รวมทั้งไทย) น้อยมาก (https://goo.gl/zTwHbs)
ดังนั้นการที่ ดร.สมคิด "คุย" ว่าไป "ดึงช้อนออกจากปากเวียดนาม" นั้น จึงถือว่า "บ่มิไก๊" ไม่ได้เป็นผลงานที่เป็นชิ้นเป็นอันอะไร แต่สิ่งที่ไม่เปิดเผยก็คือเราได้เสียอะไรไปบ้างเพื่อแลกกับการที่เขามาตั้งสำนักงานในประเทศไทย สิ่งที่เสียไปนั้น คุ้มค่าหรือไม่ เป็นการ "เสียค่าโง่หรือไม่" สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ควรตรวจสอบให้ดี ไม่ใช่ปล่อยให้ ดร.สมคิด คุยโดยสังคมไม่อาจตรวจสอบ หรือโดยที่สาธารณชนไม่มีโอกาสทราบความจริง
การที่ ดร.สมคิด "คุยโว" เกินจริงแบบนี้ จึงอาจทำให้ความน่าเชื่อถือลดลง เสียภาพพจน์ได้ เป็นสิ่งที่ ดร.สมคิด พึงสังวร เพื่อแก้ไข จะได้สร้างความเชื่อถือให้เกิดขึ้นใหม่ การรายงานภาวะเศรษฐกิจ ควรว่าตามจริงมากกว่าการโกหก