ภาพเด็กหัวเราะคนนี้ กล่าวกันว่า… ภาพนี้ถือเป็น “ภาพที่น่ากลัวที่สุด” ภาพหนึ่งในประวัติศาสตร์!!! คนดูกว่า 5 แสนครั้ง!!
แม้ประเทศไทยจะเป็นเมืองพุทธ นับถือศีลห้า มีเมตตา และปราณีให้แก่กัน แต่เธอเชื่อมั้ยว่ามีอยู่ครั้งนึง เหตุการณ์นึงที่ภาพถ่ายภาพหนึ่ง ถูกรัฐบาลไทยห้ามตีพิมพ์ เพราะเป็นภาพที่ชาวพุทธคนหนึ่ง กระทำการน่าสยดสยองให้แก่คนไทยมากเกินไป และเชื่อได้ว่าเธอเองก็คงไม่เคยได้เห็นภาพนี้มาก่อนแน่
Thaisod จึงขออนุญาตนำมาเผยแพร่ให้ทุกคนได้เห็น เพราะถึงแม้จะสยดสยองเพียงใด แต่ก็นับเป็นภาพทางประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของไทยเราเช่นกัน
หลายคนอาจจะเริ่มก่นด่า ว่าไหนความสยดสยอง มองหาผีก็ไม่เห็น มองหาวิญญาณก็ไม่เจอ มีแค่เด็กยืนหัวเราะชอบใจอยู่ตรงนั้น มันสยดสยองตรงไหน ปูซะใหญ่เชียว เอาเป็นว่าใจเย็นๆ ขอให้เธอลองดูสิ่งที่ทำให้เด็กในภาพยิ้มร่าเริง หัวเราะชอบใจนั้นเสียก่อนจะตัดสินอารมณ์
เพราะสิ่งที่เด็กคนนั้น รวมถึงทุกคนกำลังมองดู ไม่ใช่คณะตลก หรือมหรสพสนุกสนานแต่อย่างใด ทว่ามันคือภาพศพของชายคนหนึ่ง ถูกแขวนคออยู่กับต้นไม้ และมีชายอีกคนหนึ่งกำลังนำเก้าอี้ ทำท่าจะฟาดไปที่ร่างของศพนั้นอย่างโหดร้าย นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ภาพถ่ายนี้ ของช่างภาพหนังสือพิมพ์ต่างประเทศในสมัยนั้น ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ในปี 1977 เพราะเป็นภาพที่น่าสลดหดหู่ และน่ากลัวที่สุดเท่าที่เคยมีจารึกในประวัติศาสตร์มา
นีล อูเลวิช (Photo courtesy of Neal Ulevich) เจ้าของภาพถ่าย
แว้บแรกที่เธอเห็นภาพ เธอคงไม่คิดสินะว่านี่คือประเทศไทย และศพที่ถูกแขวนคออยู่ตรงนั้น ก็คือนักศึกษาธรรมศาสตร์ ที่ถูกเหล่าเด็กอาชีวะ (กระทิงแดง) ฆ่าตายในสนามฟุตบอล จากนั้นก็เอาเชือกผูกคอ ลากศพวิ่งไปตามสนามหญ้าอย่างสนุกสนาน แล้วจึงนำมาแขวนไว้ที่ต้นมะขาม เพื่อให้คนไทยที่คับแค้นใจได้รุมกระทืบ รุมเตะ รุมถีบ ก่อนจะนำไปเผานั่งยางที่กลางท้องสนามหลวง เพราะเหตุการณ์ขัดแย้งทางความคิดในปี 2519 หรือที่เธออาจเคยได้ยิน ‘6 ตุลา’ นั่นเอง
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ประเทศรอบบ้านเรากลายเป็นคอมมิวนิสต์ไปหมด และคนไทยส่วนใหญ่ก็มักจะมองผู้คนในธรรมศาสตร์ว่าเป็นพวกคอมมิวนิสต์ด้วย จึงเกิดความหวาดกลัวว่าคนพวกนี้จะนำภัยมาสู่ประเทศไทย กลัวว่าสักวันจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงเป็นคอมมิวนิสต์ จึงเกิดความรุนแรงนี้ขึ้น ซึ่งในเวลาถัดมา คอมมิวนิสต์ก็ล่มสลายเพราะทางหัวหน้าคอมมิวนิสต์อย่างจีน หมดเงินกับการสร้างอาวุธมากเกินไปจนยากจน และประเทศไทยก็กลับมาสงบสุขอีกครั้งในยุคการปกครองของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์
นับเป็นอีกประวัติศาสตร์หนึ่ง ที่คนไทยควรจำไว้เป็นบทเรียน!
ขอบคุณข้อมูลที่มา: gangbeauty
ซึ่งภาพนี้ดูผิวเผินไม่ได้มีอะไรผิดแปลก เป็นเพียงภาพคนที่คนกำลังดูอะไรบางอย่าง บางคนก็ดูเฉยๆ บางคนมีรอยยิ้ม บางคนหัวเราะ ซึ่งเด็กคนหนึ่งในภาพก็กำลังหัวเราะอย่างเห็นได้ชัดด้วย แต่เมื่อเรามาดูความเป็นมาของภาพนี้แล้ว..
มาถึงตรงนี้ ภาพที่เด็กน้อยยืนหัวเราะที่มีคนถูกฆ่าอย่างทารุณ จึงเป็นภาพที่น่าสลดหดหู่ และน่ากลัวอย่างยิ่ง
บุคคลที่ถูกเขวนคอคือนักศึกษาธรรมศาสตร์ ที่ถูกพวกกระทิงแดง (อาชีวะ) ฆ่าตายในสนามฟุตบอล จากนั้นก็เอาเชือกผูกคอ แล้วลากศพวิ่งไปตามสนามหญ้ารอบท้องสนามหลวงกันอย่างสนุกสนาน ลากกันจนสะใจแล้วก็นำมาแขวนไว้ที่ต้นมะขาม ให้คนไทยที่คับแค้นใจรุมแตะ ถีบ และรุมยำตามที่เห็นในภาพ จากนั้นก็นำไปเผานั่งยางกลางท้องสนามหลวง
จุดที่แขวนคอนี้น่าจะอยู่ตรงบริเวณหัวโค้งไปทางสะพานพระปิ่นเกล้า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีการนำภาพยนต์มาออกอากาศ ทางช่อง 9 (อสมท.)ในช่วงบ่ายของวันนั้นโดยไม่มีการเซ็นเซอร์ ผู้ทำหน้าที่บรรยายคือนายราชันย์ ฮูเซ็น ซึ่งขณะนั้นมีนายสรรพสิริ วิริยะสิริ เป็นกรรมการ อสมท. แต่พอวันรุ่งขึ้นทั้งสองคนก็ถูกคณะปฏิรูปฯ สั่งปลดออกจาก อส ทม.และทั้งคู่ต้องหลบหนีการไล่ล่าจากฝ่ายรัฐบาล (ปฏิวัติ)
ถามว่ามีช่างภาพไทยถ่ายภาพนี้หรือไม่ ตอบว่ามี แต่ก็ถูกคณะปฏิรูปตามไปยึดฟิล์มยึดภาพถึงโรงพิมพ์
หมายเหตุ: เหตุการณ์ในปี 2519 เป็นการต่อสู้ทางความคิด ที่คนไทยแบ่งออกเป็นสองขั้ว แบบนิยมคอมมิวนิสต์ และแบบโลกเสรี ขณะนั้นสังคมมองว่าพวกนักศึกษาที่เย้วๆกันในธรรมศาสตร์ถูกคอมมิวนิสต์ล้างสมอง และเป็นพวกแดงจัด พวกฝ่ายขวาจึงมองว่าคนพวกนี้จะนำภัย มาสู่ประเทศ และต่อไปประเทศก็อาจเปลี่ยนการปกครองมาเป็นลัทธิคอมมิวนิสต์ ที่สหรัฐอเมริกากำลังต่อสู้กับเวียดนามเหนืออยู่ในขณะนั้น
ขณะเดียวกันรอบบ้านเราขณะนั้นก็ตกเป็นประเทศคอมมิวนิสต์กันหมดแล้ว ความกลัวในลัทธินี้จึงมีมากในกลุ่มคนไทยที่นิยมฝ่ายขวา กลัวว่าพุทธศาสนาจะถูกทำลาย สถาบันกษัตริย์จะถูกโค่น คนรวยถูกยึดทรัพย์ ประชาชนจะถูกเกณฑ์ให้ไปทำนา มีการแบ่งปันอาหาร ระบอบการปกครองจะไม่มีการแบ่งชนชั้น ทุกคนต้องเสมอภาค ไม่มีการกดขี่ ฯลฯ ฟังดูแล้วสวยหรู และหมาะสำหรับประเทศด้อยพัฒนาเช่นไทย
แต่ที่สุดระบอบนี้ก็ไปไม่รอด เกิดความอดอยากล้มตายกันหลายสิบล้านคนในประเทศจีน เนื่องจากนำเงินมาทุ่มสร้างอาวุธ จนประเทศยากจน เมื่อประเทศผู้นำของโลกคอมมิวนิสต์ได้แก่ รัสเซีย และจีน ล่มสลาย ประเทศคอมมิวนิสต์อื่นๆก็ล่มตาม กระทั่งคนไทยที่ฝักไฝ่ลัทธินี้และหลบซ่อนอยู่ตามป่าหมดผู้สนับสนุน ก็ต้องออกมามอบตัวตามนโบยาย 66/23 และ 66/24 ในยุคที่พลเอกเปรมฯเป็นนายกรัฐมนตรี และมีพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นเสนาธิการทหาร ทั้งสองคนนี้ถือมีส่วนสำคัญที่ทำให้ชาติไทยยุติการสู้รบตามแนวชายแดน
ข้อควรคิด: เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมานานหลายสิบปีแล้ว จนเรียกได้ว่าเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของระบอบการปกครองไทย คนในยุคปัจจุบันจึงไม่ควรด่วนตัดสินใจว่า อะไรผิด อะไรถูก และไม่ควรคิดว่าใครผิดใครถูก เนื่องจากสภาพการณ์ของบ้านเมืองในสมัยนั้น แตกต่างกับยุคปัจจุบันค่อนข้างมาก ที่ถูกนั้นควรถือว่าเป็นเสี่ยวหนึ่งของประวัติศาสตร์ด้านการเมืองที่ควรรับรู้ไว้เท่านั้นเอง