ใครๆก็ว่าเธอบ้า !!! สาวตกลงแต่งงานกับ "คนเก็บขยะ" ที่แทบไม่มีทรัพย์สินอะไรเลย ผ่านไปครึ่งปี สามีเธอสารภาพ "ความจริง" ทำเอาร้องไห้น้ำตาไหล !!
เรื่องอดีตของคู่ชีวิตเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน หากต้องการที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน บางครั้งก็ต้องทิ้งปล่อยวางมันไป เพราะหากเก็บมาสงสัยหรือมาคิดก็รังแต่จะสร้างความลำบากใจให้ตนเอง อย่างเช่นเรื่องราวต่อไปนี้ ที่เว็บไซต์ต่างประเทศได้
.
เราเป็นแม่ม่าย ปีนี้อายุย่างเข้า 29 ปี มีลูกอายุ 6 ขวบคนนึง โดยสามีได้สิทธิ์รับเลี้ยงไป เพราะเขามีธุรกิจขายส่งเป็นของตัวเอง หลังหย่ากัน เราก็ให้ค่าเลี้ยงดูลูกเดือนละ 4 พัน ตัวเราเองย้ายกลับมาเช่าบ้านอยู่แถวบ้านพ่อแม่ ทำงานบริษัทเอกชนเงินเดือนตกเดือนละประมาณ 16,000 บาท ก็พอใช้ไม่เดือดร้อนอะไร เวลาไปทำงานเราก็เดินไปขึ้นรถรับส่งบริษัท ระยะทางจากบ้านเดินไปที่จุดจอดรถก็ประมาณ 10 นาที
.
ปีที่แล้ว มีอยู่วันนึงตอนเราเลิกงานกลับบ้าน อาจจะเป็นเพราะตอนนั้นเราเป็นหวัด ร่างกายอ่อนแอ บวกกับปกติก็เป็นความดันโลหิตต่ำอยู่แล้ว วันนั้นเราก็เลยเป็นลมไปแถวที่ทิ้งขยะรีไซเคิล ปรากฏว่ามีผู้ชายคนนึงที่กำลังเก็บขยะอยู่แถวนั้นเห็นเข้า เขาก็เลยช่วยเรียกแท็กซี่พาไปส่งที่โรงพยาบาล พอเราฟื้นขึ้นมาก็เห็นเขานั่งยิ้มอยู่ข้างเตียง เราถึงกับตกใจ
.
.
ต่อมาพอรู้ว่าเกิดอะไร เราก็ต้องขอบคุณเขาเป็นอย่างมาก รู้สึกว่าเขาเป็นคนดี พอคุยกันถึงรู้ว่า เขาเองก็อาศัยอยู่ใกล้ๆบ้านเรา เขาเล่าว่าตอนแรกเขาก็ทำงานอยู่ในองค์กรของรัฐ แต่ต่อมามีปัญหากับหัวหน้าโกรธปั๊บก็เลยลาออก เขาเป็นคนเซนซิทีฟกับความสัมพันธ์ ก็เลยมาฝึกตัวเองด้วยการ "เก็บขยะ" เพื่อสัมผัสชีวิตใหม่ๆ
.
เขาเล่าว่าเขาสังเกตเห็นเรามานานแล้ว เพราะว่าเขาเก็บขยะอยู่แถวนั้นก็จะเห็นเราไปทำงานและตอนเลิกงานกลับบ้าน เพราะงั้นสำหรับเขาเราถือว่าเป็นคนคุ้นเคย พอเห็นเราเป็นลมเขาก็เลยไม่สนใจไม่ได้ เขายังเล่าอีกว่าตัวเขาเองก็เป็นพ่อม่าย ลูกเขาก็อยู่กับภรรยาเก่า
.
แล้วเราก็เริ่มสนิทสนมคุ้นเคยกันโดยไม่รู้ตัว แถมยังมีบาดแผลจากชีวิตคู่คล้ายๆกันให้เห็นใจกันด้วย เราก็เลยติดต่อกันมาตลอด หลังจากคุยกันได้ไม่ถึงครึ่งปี เราก็เริ่มคบกันแบบคนรัก แล้วก็แต่งงานกันเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปีที่แล้ว
.
.
หลังแต่งงานเขาดีกับเรามาก เลิกไปเก็บขยะ เริ่มทำกิจการเล็กๆของตัวเองแทน พวกเราก็มีความสุขกันตามประสา จนกระทั่งเมื่อเดือนที่แล้ว คืนหนึ่งอยู่ดีๆเขาก็บอกเราว่า "ที่รัก คุณรู้มั้ยว่าทำไมผมอยากอยู่กับคุณ?" เราตอบว่าไม่รู้สิ เขาบอกว่า เพราะเขาชอบเราที่เราไม่คิดเล็กคิดน้อย พอใจและมีความสุขกับสิ่งที่มี เราก็ว่าใช่ โดยนิสัยแล้วเราชอบมีชีวิตง่ายๆมีความสุข
.
เมื่อก่อนสามีเก่าทำธุรกิจจนละเลยเรา แถมเป็นพวกเห็นตัวเองเป็นใหญ่ ทำให้เราท้อแท้ แต่พอพบคุณก็ไม่เหมือนกัน แม้ว่าคุณจะไม่มีเงิน แต่คุณเป็นคนดี จิตใจดี อยู่กับคุณแล้วฉันเป็นตัวของตัวเอง
.
.
เขาฟังจบก็มองเราด้วยสายตาเป็นประกาย ก่อนพูดว่า "เราสองคนได้มีโอกาสคู่กันก็เพราะพรหมลิขิต แต่ผมมีบางอย่างที่ปิดบังคุณไว้ ถ้าผมบอกความจริงคุณอย่าเกลียดผมได้มั้ย" ก่อนตัวเองตอบเขาไปว่า "ความจริงอะไรคะ?" เขาเล่าว่าเมื่อก่อนเขาก็ทำธุรกิจ แถมค่อนข้างใหญ่เป็นธุรกิจเกี่ยวกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
.
แต่ภรรยาเก่าของเขาเป็นคนขี้โกง ตอนที่ธุรกิจของเขากำลังไปได้ดีเธอก็ทรยศเขา ไปสมคบกับชู้ทำลายบริษัทเขา โอนทรัพย์สมบัติของเขาไปเป็นของเธอเอง แล้วก็ขอหย่า
.
ตอนนี้แม้ว่าเขาจะไม่เหลือทรัพย์สินอะไรแล้ว แต่เขายังมีบ้านหลังใหญ่ใจกลางเมือง เอาไว้อยู่ตอนแก่ได้ เขาบอกว่าตอนแรกคิดจะปิดบังเราเรื่องนี้ไว้ แต่เขาค้นพบว่าเราเป็นคนที่ไม่รังเกียจแม้ว่าเขาจะเก็บขยะ จริงใจกับเขา เขาก็เลยทนมีเรื่องปิดบังเราไม่ไหว
.
.
ฟังที่สามีเล่าไป เราก็น้ำตาไหลพราก เราภาคภูมิใจและมีความสุขที่ได้มาเจอผู้ชายคนนี้ เราไม่สนว่าเขาจะมีทรัพย์สินมากแค่ไหน สิ่งที่เราแคร์คือความจริงใจ แต่ตอนนี้เราสับสนและไม่มั่นใจ เรากังวลว่าเราจะมีคุณค่าเพียงพอสำหรับเขามั้ย
.
ถึงตอนนี้พวกเราแต่งงานกันมาได้แค่ครึ่งปี เราจะมีความสุขอย่างนี้ตลอดไปมั้ย นั่นมันเป็นเรื่องในอนาคตใครก็บอกไม่ได้ คนเราต้องมองไปข้างหน้า แต่ก็อย่าเอาชีวิตไปผูกติดเอาไว้กับสิ่งที่ยังไม่เกิด การใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีที่สุดสำคัญที่สุด แต่ถ้าคุณหาความสุขของคุณเจอแล้วในตอนนี้ ในอนาคตก็ไม่แตกต่างเท่าไหร่หรอก
.
.
.
** ทุกภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อข่าว **
ที่มา : LIEKR
.