หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ผีกองกอยมีจริงหรือไม่..?

โพสท์โดย warrior B





กองกอยเป็นชื่อผีป่าพวกหนึ่ง มีชื่อเสียงอยู่ทางภาคอีสานและทางฝั่งประเทศลาว ที่มีชื่อเช่นนี้เพราะว่า
มันร้อง "กองกอย" แต่บางแห่งว่า เรียกตามลักษณะของมัน คือ มันมีตีนเดียวไปไหนก็เขย่งเกงกอยไป 
บางท่านก็ว่าผีกองกอยนั้น นอกจากมีเท้าข้างเดียวแล้ว ยังเท้าปุกอีกด้วย ตามนิทานภาษาลาวเรื่อง
ผีกองกอย เขาว่าผีพวกนี้มีเท้ากลับ ไทยทางภาคพายัพเรียก ผีกองกอยว่าผีตองเหลือง ผีกองกอย
ของลาวนั้น มีเล่าอยู่สองเรื่อง... 

   
เรื่องแรกเล่าว่า มีชายคนหนึ่งอยู่ในหมู่บ้านเชิงเขา มีอาชีพในทางจับปลาในแม่น้ำเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ๆ 
กับหมู่บ้าน เช้าวันหนึ่ง เมื่อเขาไปตรวจดูข่ายดักปลา ปรากฎว่าไม่มีปลาติดเลยสักตัวเดียว และเมื่อเขากลับบ้าน
ในตอนเย็น เขาก็ยังไม่ได้ปลาอยู่เช่นเดิม ในวันรุ่งขึ้นก็เช่นกันอีก เขาไม่ได้ปลาสักตัว ทั้งนี้ทำให้เขาฉงนสนเท่ห์
ใจมาก เขาได้ตรวจดูตามพื้นทรายในบริเวณนั้น อย่างละเอียด ก็พบรอยเท้าเล็กๆ ขนาดเท้าเด็กย่ำไปมา 
เขาเดินตามรอยเท้านั้นไป 


จนกระทั่งถึงถ้ำแห่งหนึ่ง เขาเดินไปในถ้ำก็พบหญิงร่างเล็กผมสีแดง เท้ากลับไปอยู่ข้างหลังผิดกับคนทั่วไป 
เขาแน่ใจว่าหญิงคนนั้นไม่ใช่คนธรรมดาแน่ แต่เป็นผีกองกอย เขาจึงขอร้องไม่ให้หล่อนกินเขา ผีกองกอยจึง
ให้เขาสัญญาว่า เขาจะต้องเชื่อฟังหล่อน และเป็นสามีของหล่อน ถ้าเขายอมทำตาม ทรัพย์สมบัติต่างๆ 
ก็จะเป็นของเขา หน้าที่ที่จะต้องทำก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแต่เฝ้าถ้ำในระหว่างที่หล่อนออกไปหากินข้างนอก 
เขายอมตอบตกลงตามคำของหล่อน เพราะเขาคิดว่า อย่างไรเสีย เขาก็คงหาโอกาสหนีไปได้ เขาอยู่กับ
ผีกองกอยเป็นเวลาหลายวัน จนสังเกตได้ว่า ผีกองกอยมักพูดตรงข้ามกับความจริงเสมอ เช่น ถ้าหล่อนบอกว่า 
จะไปนาน หล่อนก็จะหลับมาเร็ว และเมื่อบอกว่าจะกลับมาเร็ว ก็หมายความว่าจะไปนาน 

   
เย็นวันหนึ่ง ผีกองกอยออกจากถ้ำและบอกเขาว่า จะออกไปข้างนอกซักครู่หนึ่งประเดี๋ยวก็กลับ เขาก็คิดว่า
จะต้องออกไปนานแน่ จึงคิดหนี ได้เก็บทองใส่ถุงหนีออกจากถ้ำไป หลังจากที่ชายหนุ้มหนีไปไม่นานนัก 
ผีกองกอยก็กลับมาและเมื่อเห็นว่าถ้ำว่างเปล่า ก็รีบติดตามชายหนุ่มไปทันที สักครู่หนึ่งก็ตามทัน เขาจึง
แกล้งทำล้มลง เอาศรีษะซุกเข้าไปในโพลงดิน เมื่อผีกองกอยตามมาถึงก็ร้องบอกให้เขากลับ แต่ชายหนุ่ม
ไม่ยอมขยับเขยื้อนเลย 

ในที่สุดผีกองกอยก็เปลี่ยนท่าทีใหม่ พูดกับเขาอย่างอ่อนหวาน และสัญญากับเขาต่างๆ นานา แต่เขา
ก็ยังคงนิ่งเฉยอยู่ ผีกองกอยจึงเอามือจี้ไปที่ร่างของเขา ชายหนุ่งก็ทำตัวแข็งไม่ยอมกระดุกกระดิกตัวเช่นเดิม 
ขณะนั้นผีกองกอยได้กลิ่นตุๆ ลอย ขึ้นมาจากร่างของชายหนุ่ม ผีกองกอยได้กลิ่นก็คิดว่าตายแล้ว 
นางมีความเสียใจมากร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่เป็นเวลานาน แล้วจึงจัดการฝังศพของชายหนุ่ม เอาถุงทอง
วางไว้ข้างๆ ตัวด้วย เสร็จแล้วก็กลับไป ชายหนุ่มทนอึดอัดอยู่จนถึงเวลาค่ำ จึงได้ลุกขึ้นเดินกลับบ้านไป 
เขาได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครต่อใครฟังหลายคน 





และมีอยู่คนหนึ่งเป็นคนขี้อิจฉา คิดจะทำอย่างเขาบ้าง เขาได้ทำตามชายหนุ่มคนแรกทุกอย่าง เริ่มด้วยการ
เอาข่ายไปดักปลา แล้วได้เดินตามรอยเท้าไปจนถึงถ้ำผีกองกอย และได้เป็นผัวนางกองกอย มีหน้าที่
เฝ้าสมบัติ ต่อมาได้ขนเงินทองหนีออกจากถ้ำ แต่ไม่นานนักผีกองกอยก็ไล่ตาม และโดยที่เขาเป็นคนโลภ
ขนเงินขนทอง มาหลายถุงจึงทำให้หนักวิ่งไม่สะดวก เมื่อเห็นผีกองกอยวิ่งไล่กระชั้นชิดเข้ามาก็จำเป็น
ต้องโยนทิ้งเสียบ้าง เมื่อวิ่งไปถึงไร่มัน ก็ทรุดตัวลงแล้วเอาศีรษะซุกเข้าไปในหลุม แกล้งทำเป็นหมด
ความรู้สึกเช่นเดียวกับที่คนแรกได้เคยทำมาแล้ว 


ผีกองกอยเข้ามาถึงก็พูดเช่นเดียวกันกับที่เคยพูดกับชายคนแรก และเมื่อเห็นเขาไม่เคลื่อนไหว ผีกองกอย
ก็เอานิ้วจี้ ชายคนนี้เป็นคนบ้าจี้ พอถูกจี้เข้าก็หัวเราะออกมา ผีกองกอยก็พลอยหัวเราะไปด้วย และได้
ร้องออกมาว่า "กองกอย กองกอย" แล้วก็กินตับไตไส้พุงของชายโลภคนนี้จนหมด 

   
นิทานลาวเรื่องนี้ได้ความรู้เรื่องผีกองกอยว่าร้อง "กองกอย" มีเท้า กินของคาวสด มีทรัพย์สมบัติมาก รูปร่างคล้ายคนแต่ตัวเล็ก 





ส่วนนิทานลาวเรื่องผีกองกอยอีกเรื่องนั้นเล่าว่า...มีชายคนหนึ่ง ไปดักปลาแต่ไม่เคย
ได้ปลาเลยจึงตรวจดูตามบริเวณนั้น ก็พบร้อยเท้าเล็กๆ ขนาดไม่เกินสามนิ้ว (แสดงว่า เท้าปุก) 
เขาก็แน่ใจว่าจะต้องเป็นผู้ที่มาขโมยปลาไป 


ได้แอบเฝ้าดูอยู่เกือบสว่าง จึงได้ยินเสียงคนเดินมาค่อยๆ เขาได้เห็นผีกองกอยมายืนอยู่ริมตลิ่ง เป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ 
ผมยาวเหมือนแม่มด ผีกองกอยไม่ได้นุ่งผ้า ตัวเปล่าเปลือย เมื่อเขาเห็นผีกองกอยจะเข้าไปลักปลา เขาก็วิ่งเข้าไปจับ
แต่ก็จับไม่อยู่เพราะผีกองกอยมีแรงมากกว่า ในที่สุดเขาเองกลับถูกจับไปและถูกบังคับให้เป็นผัว ทุกครั้งที่ผีกองกอย
ออกไปหากิน มันจะเอาหินขนาดใหญ่มีน้ำหนักหลายตันปิดปากถ้ำไว้อย่างหนาแน่น ชายหนุ่มอยู่ กับผีกองกอย
ปีหนึ่งก็มีลูกด้วยกันคนหนึ่ง ชายหนุ่มมีหน้าที่คอยเลี้ยงลูกในตอนที่ผีกองกอยไม่อยู่ เขาต้องทนอยู่เป็นเช่นนี้ 
เป็นเวลาถึงสามปี 

และแล้ววันหนึ่ง ลูกชายของเขาก็พยายามผลักหินปิดปากถ้ำนั้นออกได้ ซึ่งผู้เป็นพ่อเองกลับผลักไม่ไหว 
ทั้งนี้ก็เป็นเพราะลูกได้รับกำลัง และอำนาจมาจากผีกองกอยนั่นเอง ชายหนุ่มไม่รอช้า เขารีบวิ่งหนีออกจากถ้ำทันที 
เมื่อผีกองกอยตามทัน เขาก็แกล้งทำเป็นตาย อย่างชายหนุ่มในเรื่องแรก ผีกองกอยก็เอามือจี้สีข้าง แต่เขาทนได้
และได้ปล่อยลมเสียออกมา ผีกองกอยได้กลิ่นตุๆ ก็นึกว่าตายจริง ก็เอาฆ้องใบหนึ่งวางไว้ข้างๆ ตัวแล้วพูดว่า 
"ถ้าเธอต้องการอะไร ก็ให้ตีฆ้องนี้ขึ้น" พอผีกองกอยไปแล้ว ชายหนุ่มก็กลับไปบ้าน เมื่อเขาต้องการเงินทอง
ก็ตีฆ้องขึ้นก็ได้ดังปรารถนา 

จากนิทานเรื่อง ที่สองนี้ ได้ความเพิ่มเติมขึ้นอีกอย่างหนึ่งว่า ผีกองกอยเปลีอยกาย
ไม่นุ่งผ้า และมีลูกกับคนได้.. 






เรื่องผีกองกอย ในสมัยก่อนเชื่อกันมาก มักพูดคุยเล่าสู่กันฟังเสมอ พระยาราชเสนาได้เล่าว่า 
เมื่อ พ.ศ ๒๔๖๐ ได้ไปตรวจป่าและต้นอบเชยที่จังหวัดชัยภูมิ ได้ไปพักแรมที่ภูเขาเขียว 
คืนหนึ่งเวลาราว ๒๑ นาฬิกา หลับกันหมดแล้ว คงเหลือ แต่พระยาราชเสนากับนายด้วง
ปลัดอำเภอยังนอนคุยกันอยู่ และราษฎรที่สมัครไปด้วย อีกคนหนึ่งอายุกลางคน ชื่อ ตาโข้ 
ประพฤติตนเป็นผู้ใหญ่ยังไม่นอน แกนั่งจักไม้สานตะกร้าสำหรับใส่ของป่า
ที่จะหาได้ และคอยเติมไฟที่ก่อไว้มิให้ดับ 


พระยาราชเสนากับนายด้วงได้ยินเสียงอะไรดัง จ๊อก จ๊อก ระยะห่างๆ เสียงนั้นเหมือนเสียงคนจุ๊ปาก หรือเสียงจิ้งจก 
แต่ดังกว่ามากแล้วเสียงใกล้เข้ามา และมีเสียงใบไม้ดังสวบตามเสียง "จ๊อก" ด้วยทุกจังหวะ คือดัง "จ๊อกสวบจ๊อกสวบ" 
เป็นคู่กันดังนี้เรื่อยมา เหมือนหนึ่งตัวที่ร้องนั้นกระโดดบนกิ่งใบไม้ตามเสียงที่ร้องนั้นทุกครั้ง พระยาราชเสนาถามนายด้วง 
นายด้วงบอกว่าไม่รู้จัก เพิ่งได้ยินเสียงเดี๋ยวนี้เอง พระยาราชเสนาก็เตรียมปืนพร้อม นายด้วงก็ตามคอยดูว่า เมื่อเห็นตัวถนัด
ก็จะลั่นไกให้ได้ตัวมาดู ให้รู้ว่ามันเป็นตัวอะไรแน่ 

จนกระทั่ง เสียงนั้นเข้ามาถึงต้นไม้ในบริเวณที่พวกพระยาราชเสนาพักพอสังเกตเสียงได้ว่าอยู่ที่ต้นใด มีแสงไฟมากองอยู่เรืองๆ 
พอเห็นต้นไม้ได้ถนัด แต่เจ้าของเสียงมันอยู่บนต้นไม้ มืดแลไม่เห็นตัวมัน ใจพระยาราชเสนาผู้หันปากกระบอกปืนไปทางต้นนั้น
แล้วรู้สึกกระหยิ่มว่า ถ้ามันลงมาต่ำๆ คงได้เห็นอะไรแปลกๆ เป็นแน่ แต่ผิดหวังเพราะตาโข้อุตริออกเสียงเรียกชื่อคนขึ้น 

แล้วเจ้าเสียง ประหลาดก็ดัง "จ๊อก" บนต้นไม้ที่เราปองนั้นอีกครั้งเดียว และมีเสียงเหมือนลมพัดแรงๆ ลู่ใบไม้ต้นนั้นและต้นถัดไป 
ดังซู่เป็นเสียงยาว ประมาณ ๕ วินาที แล้วก็เงียบเลย พระยาราชเสนาเข้าใจว่ามันไปเสียแล้วจึงถามตาโข้ว่า แกเรียกใคร 
ตาโข้บอกว่าเรียกชื่ออ้ายอะไรจำไม่ได้ ซึ่งตายไปนาน ไม่ทราบว่ากี่สิบปีแล้ว ว่าเป็นชื่อที่ผีชนิดนี้กลัวมาก แกจึงออกชื่อ
ให้อ้ายตัวที่แกว่าผีนั้นได้ยินเพื่อให้หนีไปเสีย 


พระยาราชเสนารีบถามตาโข้ อีกว่าผีอะไร ที่ไหน แกจึงบอกว่า อ้ายที่มันร้องจ๊อก จ๊อก นั่นแหละ ผีกองกอย มีตีนเดียว 
ใครพบรอยที่ไหนก็รอยตีนข้างเดียว เหมือนกันทุกแห่ง รอยตีนมันเท่ารอยเท้าเด็กเล็กๆ และผีอย่างนี้มันแปลงตัวให้เล็ก
เท่าลูกลิงก็ได้ เมื่อมันเห็นคนเดินทาง ในดงนอนหลับแล้ว มันลงมาหาของกิน ถ้าไม่ได้กินเลือดคนเพราะเขายังไม่ถึงที่ตาย 
มันก็ขโมยเขียดหรืออึ่ง (อึ่งยาง) ที่เขาจับใส่หม้อขังไว้เป็นอาหารดังกล่าว ทั้งนี้คนที่ไปด้วยหลายคนรับรองคำตาโข้ว่า 
ได้เคยเห็นรอยเท้ามันและเคยถูกขโมยเขียด ตกลงในครั้งนั้น พระยาราชเสนา ก็ไม่ได้เห็นผีกองกอยตัวจริงเลย ! 

ข้อมูลทางวิชาการ 





กองกอย เป็นผีป่าชนิดหนึ่ง (ผีไพร) ลักษณะรูปร่างจะเป็นผีที่มีขาข้างเดียว มีปากเป็น ท่อเหมือนแมลงวัน 
เวลาไปไหนมาไหนจะกระโดดไปด้วยขาข้างเดียว และส่งเสียงร้องว่า " กองกอย ๆ " อันเป็นที่มาของชื่อ 

คนส่วนใหญ่เชื่อว่ากองกอยมีหน้าตาคล้ายกับลิงหรือค่าง บ้างก็เรียกว่า ผีโป่ง หรือผีโบ่งขาม เนื่องจากสันนิษฐานว่า 
ผีโป่งก็คือค่างแก่ที่มีหน้าตาน่าเกลียดและไม่สามารถปีนขึ้นต้นไม้ได้นั่นเอง นอกจากนี้ยังมีความเชื่ออีกว่า 
หากได้มีโอกาสดื่มเลือดค่าง จะทำให้ร่างกายอยู่ยงคงกระพันและเป็นอมตะชั่วนิรันดร์

คนโบราณมักจะมีความเชื่อว่า ผีกองกอย มักจะดูดเลือดจากหัวแม่เท้าของคนที่ไปพักค้างแรมในป่า หากต้องการ
ป้องกันไม่ให้ผีมาดูดเลือด จะต้องนอนไขว้ขาหรือนอนเท้าชิดกันทั้งสองข้าง ตัวอย่างของผีกองกอยในวรรณคดี 
ก็คือเจ้าย่องตอด ซึ่งพบได้ในวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณี นั่นเอง

เรายังพบผีชนิดอื่นๆที่มีลักษณะคล้ายๆกับผีกองกอยมีกระจัดกระจายไปทั่วในหลายประเทศ เช่น คนมาเลเซียจะมี
ความเชื่อเรื่องผีคนป่าเผ่าหนึ่งที่มีขาข้างเดียวและไม่มีสะบ้าหัวเข่า ส่วนในจีนก็มีความเชื่อเกี่ยวกับปีศาจชนิดหนึ่ง
ที่มักอาศัยอยู่ตามภูเขา ผีจีนตัวนี้จะมีลักษณะพิเศษคือมีขาเดียว ตัวเล็ก ตาโต หูแหลม แต่ผมยาว และมักจะชอบ
ลักขโมยอาหารหรือสิ่งของของคนเดินทาง และเมื่อถึงเทศกาลวันตรุษ ผีชนิดนี้ก็มักเข้ามาอาละวาดคนในหมู่บ้าน 
จึงเชื่อว่าเป็นผีที่นำความอัปมงคลมาให้ หากใครได้จับต้องโดนตัวมัน จะต้องเผชิญกับความโชคร้ายหรือต้องเจ็บไข้
ได้ป่วยกันทุกราย ส่วนทางยุโรปก็มีผีขาเดียว ที่มักจะเคลื่อนที่ไปไหนมาไหนด้วยวิธีการกระโดด

ส่วนในภาคเหนือของไทยก็มีผีอีกชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า ผีโป๊กกะโหล้ง ซึ่งสันนิษฐานว่า เป็นผีโป่งชนิดหนึ่ง เพราะลักษณะ
ของมันคล้ายคลึงกัน กล่าวคือ มีขาเพียงข้างเดียว แต่วิ่งไวราวกับลมพัด อย่างไรก็ตาม ผีชนิดนี้มีความแปลกอยู่บ้าง
ตรงที่ไม่เคยดูดเลือดคนที่เดินป่า แต่กลับชอบเล่นบังตาคนมากกว่า ผีชนิดนี้มักมีเสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวว่า 
โป๊กๆๆ กะโหล้ง โป๊กๆๆๆ กะโหล้ง ส่วนนิสัยประจำตัวอีกอย่างของผีชนิดนี้คือ หากมีมนุษย์คนใดมาตะโกนเรียกกันในป่า 
มันจะทำเสียงเลียนแบบ จนทำให้คนที่ตะโกนรับหลงทางไปจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ ดังนั้น คนเฒ่าคนแก่ถึงได้ห้ามไม่ให้
เราตะโกนเสียงดังในป่า เพราะเกรงว่าผีโป๊กกะโหล้งจะเลียนเสียงแล้วทำให้หลงป่าได้นั่นเอง




เมื่อหลวงปู่แหวนผจญผีกองกอย 

เรื่องของหลวงปู่ต่างๆที่มีจริยวัตรอันงดงาม..และได้ปฏิบัติธรรมในสถานที่ ต่างๆ จนได้พบกับปาฏิหารย์ต่าง 
และนี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งของรอยตะวันที่จะเล่าเรื่องผีกองกอยให้ฟัง 

..หลวงปู่แหวนผจญผีกองกอย ชาวป่าข่าระแด 





มีเหตุการณ์สะเทือนขวัญอีกครั้งหนึ่ง ได้เขียนไว้ในหนังสือ พระธาตุปาฏิหาริย์ ของนิตยสารโลกทิพย์ 
ซึ่งขอนำมากล่าวโดยสรุปดังนี้ : - 

เมื่อหลวงปู่แหวน กับ หลวงปู่ตื้อ จาริกมาถึงเทือกเขาใหญ่ทิศใต้ แขวงเมืองคำม่วน เป็นป่าดงเย็นอืมครึม 
เชื่อมโยงลงไปถึงสุวรรณเขต ในตอนเย็น พบสถานที่เหมาะจึงปักกลดพักภาวนาที่หุบเขาใต้เงื้อมผาแห่งหนึ่ง 
ทั้งสององค์ปักกลดห่างกันพอสมควร คืนนั้นต่างองค์ต่างบำเพ็ญเพียรอยู่ในกลดเป็นปกติ ประมาณ 3 ทุ่ม 
ในป่าดงเช่นนั้นดูเงียบสงัดวังเวง ก็ได้ยินเสียงประหลาดคล้ายเสียงนกกลางคืนร้อง 


"ก๋อย ก๋อย ก๋อย" 

เสียง นั้นดังใกล้เข้ามา แล้วดังรับกันล้อมรอบไปทั่วทิศ เสียงบีบเข้ามา "ก๋อย ก๋อย ก๋อย" และมีแสงคบไฟนับสิบๆ ด
วงมาจากเสียงนั้น ทำให้มองเห็นตัวผู้ถือได้ถนัด 

ร่างนั้นเป็นมนุษย์ร่างประหลาด ขนาดเด็กอายุ 13-14 ปี ผอม พุงโร ผิวคล้ำ ผมเผ้ารุงรัง จมูกแบน บ่งบอกว่าเป็นคนป่า 
ทุกคนมีอาวุธประจำตัวคือ "หน้าทึ่น" คล้ายธนูแต่เล็กกว่า ใช้คล่องตัวในป่า พวกเขาสะพายกระบอกไม้ไผ่ใส่ลูกดอก
อาบยาพิษ 


คนป่าร่างเล็กนั้น ส่งเสียงรับกันเป็นทอดๆ โอบล้มกลดธุดงค์เข้ามา พอได้ระยะก็พากันยกหน้าทึ่นเล็งเข้ามายังกลดทั้งสอง 
หลวงปู่ตื้อร้องบอกพอได้ยินว่า "ท่านแหวนระวัง" แล้วทั้งสององค์ก็กำหนดจิตหลับตาเข้าฌานทันที เป็นไปโดยอัตโนมัติ 
ปรากฏว่าลูกดอกอาบยาพิษที่ระดมยิงมานั้นตกร่วงพรูห่างจากกลดทั้งสองเป็นวา เป็นที่อัศจรรย์ยิ่ง 

พวกชาวป่าต่างแปลกใจ ร้อง "ก๋อย ก๋อย ก๋อย" ดังกระหึ่ม แล้วระดมยิงลูกดอกอีก 2-3 รอบ ก็ปรากฏผลเช่นเดิม 
คือลูกดอกตกลงดินก่อนจะไปถึงกลด ทำเอาพวกเขาตกใจกลัว ร้อง "ก๋อย กุ๋ย ก๋ย" แล้วต่างก็วิ่งหนีหายไปในความมืด 

เมื่อคนป่าหนีกลับไปหมดแล้ว หลวงปู่ทั้งสอง จึงได้ออกมานอกกลด หลวงปู่ตื้อ ถามว่า 
"เป็นไงท่านแหวน ตับไตไส้พุงของท่านยังดีอยู่หรือ?" 

หลวง ปู่แหวน ตอบไปว่า "ผมนั่งรออยู่ในกลด ให้พวกเขาเอาตับไตไส้พุงผมไปกิน ทำไมมันไม่เอาก็ไม่รู้" 
ทั้งสององค์ได้เดินจงกรมไปจนดึก แล้วเข้าสมาธิต่อภายในกลดไปจนสว่าง 

ตอนเช้าพวกคนป่ากลุ่มนั้นเข้ามา ด้อมๆ มองๆ ด้วยความเกรงกลัว หลวงปู่ แสดงท่าให้พวกเขาเข้ามา ต่างค่อยๆ 
เข้ามาด้วยเนื้อตัวสั่นเทา มาหมอบนิ่งเอาหัวซุกดินคล้ายสำนึกผิด และขอขมา พวกเขาเป็นพวก ข่าระแด 
เป็นคนป่ากลุ่มหนึ่ง ชอบล่ามนุษย์เผ่าอื่นที่ล่วงล้ำเข้ามา แล้วเอาเนื้อแบ่งกันกิน 


พวกข่าระแด ได้นิมนต์หลวงปู่ทั้งสองไปยังที่พักของพวกเขา จัดอาหารป่ามาถวาย ก็มีเนื้อย่าง 2 ก้อน ได้ความว่า
เป็นเนื้อของคนแก่ซึ่งยอมสละชีวิตของตนเองให้เป็นอาหารของลูกหลาน 


หลวงปู่ อยู่โปรดพวกชาวป่าหลายวัน ทรมานและสอนพวกเขาให้เลิกการฆ่ามนุษย์ด้วยกัน เมื่อเห็นว่าพวกเขาเชื่อ
อย่างจริงใจแล้ว ท่านทั้งสองก็ออกเดินทางต่อไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ของพวกเขายิ่งนัก 

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
warrior B's profile


โพสท์โดย: warrior B
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
36 VOTES (4/5 จาก 9 คน)
VOTED: paktronghie, mynameissnow, rainadam, นางเบิร์ด, ซาอิ, แมวโตซอรัส เร็ก
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
หนุ่มไรเดอร์อมของหลวง ชี้เกิดใน สน.จริง"ลิซ่า" เป้าแตก! ขณะไปดูแข่ง F1..ทำเอาแฟนๆ ขำและล้อเลียนไม่หยุดลูกค้ากินบุฟเฟ่ต์ 210 บาทไม่ยั้ง ชาวเน็ตห่วงร้านขาดทุน เจ้าของเผยคำตอบพลิกความคาดหมายตำนานตลอดไป!! กับการประกวด Miss planet international 2024 บอกเลยว่า.. ที่สุดหน้าหนาวนี้...เที่ยวเลยไหม! ไปเลย เที่ยวที่ไหน ไปดูกันเด็กชายวัย 13 ปี ถูกตำหนิเรื่องวาดเล่นในห้องเรียน แต่กลับคว้าดีลกับ Nike ได้สำเร็จโรคกลัวทะเล หรือ โรคกลัวทะเลลึก ธาลัสโซโฟเบีย (Thalassophobia) มารู้จักโรคนี้กันเถอะรวมเลขเด็ด! หวยแม่จำเนียร งวดวันที่ 1 ธันวาคม 2567มือยิง 3 ศพ จ.หนองบัวลำภู ติดต่อญาติขอเข้ามอบตัวแล้วดราม่า “ทิชา” พุ่ง! หลังนักแสดงเด็กไข้สูงเข้าฉาก พ่อโพสต์เบื้องหลังสุดสมจริง จุดกระแสถกเถียงในโลกออนไลน์ออกหมายจับผู้นำพม่า มิน อ่อง หล่ายสวีเดนแย้มตัวเลข Gripen สำหรับยูเครน พร้อมชิ้นส่วนสำหรับเครื่องบินรบ 14 ลำ
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
"ลิซ่า" เป้าแตก! ขณะไปดูแข่ง F1..ทำเอาแฟนๆ ขำและล้อเลียนไม่หยุดคลารา เปตัชชิ หญิงสาวผู้เคียงข้างผู้นำเผด็จการของอิตาลี เบนิโต มุสโซลินี จนวาระสุดท้ายมือยิง 3 ศพ จ.หนองบัวลำภู ติดต่อญาติขอเข้ามอบตัวแล้วสาวญี่ปุ่นร้องไห้หนักมาก ทำมอเตอร์ไซค์หายที่เชียงใหม่ แต่คนไทยใจดีช่วยจนเจอทำไมชาวต่างชาติชอบมาเที่ยวในประเทศไทย
กระทู้อื่นๆในบอร์ด นิยาย เรื่องเล่า
สยอง "ผีป่าช้าวัดดอน"เปิดตำนาน "ลิโป้" ขุนศึกผู้ห้าวหาญแห่งยุคสามก๊ก4 หัวใจแห่งขุนเขา กำเนิดซีรีย์ไทยชุดแรกของช่อง 3 แจ้งเกิดดาราแถวหน้าของวงการเปิดตำนาน "ยุทธหัตถี" วีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ตั้งกระทู้ใหม่